ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป ฝากรูป

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

นวัตกรรมใหม่ - สื่อหลายมิติ


     นวัตกรรมใหม่ๆทางการศึกษามีเข้ามาเรื่อยๆ ดิฉันก็ได้นำเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สื่อหลายมิติ ให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษา ณ ที่นี้ ซึงบทความทั้งหลายเหล่านี้ดิฉันคิดว่า คงมีประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านอย่างแน่นอนในการนำไปจัดกระบวนการเรียนการสอนให้มีความน่าสนใจ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้เรียนได้......

สื่อหลายมิติ
     ความหมาย สื่อหลายมิตินั้นเป็นสื่อประสมที่พัฒนามาจากข้อความหลายมิติ ซึ่งแนวความคิดเกี่ยวกับข้อ ความหลายมิติ (hypertext) นี้มีมานานหลายสิบปีแล้ว โดย แวนนิวาร์ บุช (Vannevar Bush) เป็นผู้ ที่มีความคิดริเริ่มเกี่ยวกับเรื่องนี โดยเขากล่าวว่าน่าจะมีเครื่องมืออะไรสักอย่างที่ช่วยในเรื่อง ความจำและความคิดของมนุษย์ที่จะช่วยให้เราสามารถสืบค้นและเรียกใช้ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้ หลาย ๆ ข้อมูลในเวลาเดียวกันเหมือนกับที่คนเราสามารถคิดเรื่องต่าง ๆ ได้หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
     จากแนวคิดดังกล่าว เท็ด เนลสัน และดั๊ก เอนเจลบาร์ต ได้นำแนวคิดนี้มาขยายเป็นรูปเป็น ร่างขึ้น โดยการเขียนบทความหรือเนื้อหาต่าง ๆ กระโดยข้ามไปมาได้ในลักษณะที่ไม่เรียงลำดับเป็น เส้นตรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ไฮเพอร์เท็กซ์หรือข้อความหลายมิติ โดยการใช้ คอมพิวเตอร์ช่วย แนวคิดเริ่มแรกของสื่อหลายมิติคือความต้องการเครื่องมือช่วยในการคิดหรือการ จำที่ไม่ต้องเรียงลำดับ และสามารถคิดได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
     ข้อความหลายมิติ Hypertext หรือข้อความหลายมิติ คือเทคโนโนยีของการอ่านและการเขียนที่ไม่เรียงลำดับ เนื้อหากัน โดยเสนอในลักษณะของข้อความที่เป็นตัวอักษร หรือภาพกร3าฟิคอย่างง่าย ที่มีการ เชื่อมโยงถึงกัน เรียกว่า “จุดต่อ” (node) โดยผู้ใช้สามารถเคลื่อนที่จากจุดต่อหนึ่งไปยังอีกจุดต่อ หนึ่งได้โดยการเชื่อมโยงจุดต่อเหล่านั้น
     ข้อความหลายมิติ เป็นระบบย่อยของสื่อหลายมิติ คือเป็นการนำเสนอสารสนเทศที่ผู้อ่านไม่ จำเป็นต้องอ่านเนื้อหาในมิติเดียวเรียงลำดับกันในแต่ละบทตลอดทั้งเล่ม โดยผู้อ่านสามารถข้ามไปอ่านหรือค้นคว้าข้อมูลที่สนใจตอนใดก็ได้โดยไม่ต้องเรียงลำดับลักษณะข้อความหลายมิติอาจ เปรียบเทียบได้เสมือนกับบัตรหรือแผ่นฟิล์มใส หลาย ๆ แผ่นที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ในแต่ละแผ่นจะบรรจุข้อมูลแต่ละอย่างลงไว้

สื่อหลายมิติิ (Hypermedia)
มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายและลักษณะของสื่อหลายมิติไว้
     กิดานันท์ มลิทอง กล่าวไว้ว่า สื่อหลายมิติ เป็นการขยายแนวความคิดของข้อความหลายมิติ ในเรื่องของการเสนอข้อมูลในลักษณะไม่เป็นเส้นตรง และเพิ่มความสามารถในการบรรจุข้อมูลในลักษณะของภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ ภาพกราฟิคในลักษณะภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย เสียงพูด เสียงดนตรี เข้าไว้ในเนื้อหาด้วย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาเรื่องราวในลักษณะ ต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบกว่าเดิม

การผลิตสื่อหลายมิติ
     การจัดทำสื่อหลายมิติ จัดทำโดยใช้กระบวนการของสื่อประสมในการผลิตเรื่องราวและบท เรียนต่าง ๆ ในรูปลักษณะและวิธีการของข้อความหลายมิติ นั่นเอง โดยการใช้คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์ กลางการเขียนเรื่องราว ซึ่งมีโปรแกรมที่นิยมใช้ หลายโปรแกรมแต่ที่รู้จักกันดี เช่น ToolBook AuthorWare Dreamweaver PowerPoint เป็นต้น


จุดมุ่งหมายของการใช้สื่อหลายมิติ
1. ใช้เป็นเครื่องมือในการสืบค้น(Browsing)สารสนเทศต่าง ๆ
2. ใช้เพื่อการเชื่อมโยง (Linking) แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ
3. ใช้ในการสร้างบทเรียน (Authoring) สร้างโปรแกรมนำเสนอรายงานสารสนเทศต่าง ๆ ที่มีความ น่าสนใจเนื่องจากสามารถนำเสนอได้ทั้งภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว

การนำสื่อหลายมิติมาใช้ในการเรียนการสอน
     มีการนำสื่อหลายมิติเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนในรูปของบทเรียนหลายมิติขึ้น โดยการ ผลิตเนื้อหาหรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะใช้สอนในลักษณะสื่อหลายมิติ โดยการใช้ภาพถ่าย ภาพเคลื่อน ไหว และเสียงต่าง ๆ บรรจุลงไปในบทเรียนหลายมิติ ผู้เรียนสามารถมี ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนโดย การเลือกเรียนเนื้อหาตามลำดับที่ตนต้องการที่โรงเรียนฟอเรศต์ฮิลล์ เมืองแกรนด์ แรพิดส์ สหรัฐ อเมริกา ได้จัดทำลทเรียนสื่อหลายมิติ โดยครูและนักเรียนร่วมกันสร้างบทเรียนเกี่ยวกับการถูก ทำลายของป่าฝนในเขตร้อน โดยการค้นคว้าเนื้อหาจากห้องสมุด แล้ว รวบรวมภาพถ่ายภาพเคลื่อน ไหลต่าง ๆ มาเป็นข้อมูลแล้วทำการสร้างเป็นบทเรียนโดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วย

ประโยชน์และลักษณะของบทเรียนหลายมิติ
การเรียนบทเรียนที่มีลักษณะสื่อหลายมิติผู้เรียนสามารถเรียนรู้ข้อมูลจากบทเรียนได้หลายประเภทดังนี้
1.เรียกดูความหมายของคำศัพท์
2. ขยายความเข้าใจเนื้อหาโดย ดูแผนภาพ หรือภาพวาด ภาพถ่าย หรือฟังคำอธิบายหรือฟังเสียง ดนตรี เป็นต้น
3. ใช้สมุดบันทึกที่มี อยู่ในโปรแกรมบันทึกใจความสำคัญ
4. ใช้เครื่องมือวาดภาพในโปรแกรมวาดแผนที่มโนทัศน์ของตน
5. สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ต่าง ๆ ที่สนใจมาอ่านได้โดยสะดวก
6. ใช้แผนที่ระบบดูว่าขณะนี้กำลังเรียนอยู่ส่วนใดของบทเรียน


ที่มา : http://wongketkit.blogspot.com/2008/09/blog-post_4435.html

มารู้จักห้องเรียนเสมือนจริง




ห้องเรียนเสมือนจริง เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่น่าสนใจอีกวิธีหนึ่ง 
     ความหมาย การเรียนการสอนที่จำลองแบบเสมือนจริง เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่สถาบันการศึกษา ต่างๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจและจะขยายตัวมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 การเรียนการสอนในระบบนี้อาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม และเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ที่เรียกว่า Virtual Classroom หรือ Virtual Campus บ้าง นับว่าเป็นการพัฒนาการ บริการทางการศึกษาทางไกลชนิดที่เรียกว่าเคาะประตูบ้านกันจริงๆ เป็นรูปแบบใหม่ของสถาบันการศึกษาในโลกยุคไร้พรมแดนมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของคำว่า Virtual Classroom ไว้ดังนี้
     ศ. ดร. ครรชิต มาลัยวงศ์ ได้กล่าวถึงความหมายของห้องเรียนเสมือน(Virtual Classroom) ว่าหมายถึง การเรียนการสอนที่ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้เรียน เข้าไว้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเครือข่าย (File Server) และเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ให ้ บริการเว็บ (Web Server) อาจเป็นการเชื่อมโยงระยะใกล้หรือระยะไกล ผ่านทางระบบการสื่อสารและอินเทอร์เน็ตด้วย กระบวนการสอนผู้สอนจะออกแบบระบบการเรียนการสอนไว้โดยกำหนด กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อต่างๆ นำเสนอผ่านเว็บไซต์ประจำวิชา จัดสร้างเว็บเพจในแต่ละส่วนให้ สมบูรณ์ ผู้เรียนจะเข้าสู่เว็บไซต์ประจำวิชาและดำเนินการเรียนไปตามระบบการเรียน ที่ผู้สอนออกแบบไว้ในระบบเครือข่ายมีการจำลองสภาพแวดล้อมต่างๆ ในลักษณะเป็นห้องเรียนเสมือน (ครรชิต มาลัยวงศ์, 2540)
     บุญเกื้อ ควรหาเวช ได้กล่าวถึงห้องเรียนเสมือนว่า (Virtual Classroom) หมายถึง การ จัดการเรียนการสอนที่ ผู้เรียนจะเรียนที่ไหนก็ได้ เช่น ที่บ้าน ที่ทำงาน โดยไม่ต้องไปนั่งเรียนในห้อง เรียนจริงๆ ทำให้ประหยัดเวลา ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย (บุญเกื้อ ควรหาเวช. 2543: 195)
     รุจโรจน์ แก้วอุไร กล่าวไว้ว่าห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) เป็นการจัดการเรียนการ สอนทางไกลเต็มรูปแบบ โดยมีองค์ประกอบครบ ได้แก่ ตัวผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้น เข้าสู่ กระบวนการเรียนการสอนพร้อมๆ กัน มีสื่อการสอนทั้งภาพและเสียง ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมกลุ่ม หรือตอบโต้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้สอนหรือกับเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มที่ (คล้ายกับ chat room) ส่วนผู้สอนสามารถตั้งโปรแกรมติดตามพัฒนาการ ประเมินผลการเรียนรวมทั้งประสิทธิภาพของหลัก สูตรได้ ทั้งนี้ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ แต่ผู้เรียนในชั้นและผู้สอนจะต้องนัดเวลาเรียนอย่างพร้อมเพรียง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่าห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) เป็นการเรียน การสอนที่จะต้องมีการนัดเวลา นัดสถานที่ นัดผู้เรียนและผู้สอน เพื่อให้เกิดการเรียนการสอนมีการกำหนดตารางเวลาหรือตารางสอนผู้เรียนไม่ต้องเดินทางแต่เรียกผ่านเครือข่ายตามกำหนดเวลาเพื่อเข้าห้องเรียนและเรียน ได้แม้จะอยู่ที่ใดในโลก
     โดยสรุป กล่าวได้ว่าได้ว่า ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หมายถึง การเรียนการสอนที่กระทำผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนเข้าไว้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเครือข่าย (File Server) และคอมพิวเตอร์ผู้ให้บริการเว็บ (Web sever) เป็นการเรียนการสอนที่จะมีการนัดเวลาหรือไม่นัดเวลาก็ได้ และนัดสถานที่ นัดตัวบุคคล เพื่อให้เกิด การเรียนการสอน มีการกำหนดตารางเวลาหรือตารางสอน เข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนพร้อมๆ กันหรือไม่พร้อมกัน มีการใช้สื่อการสอนทั้งภาพและเสียง ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือตอบ โต้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้สอนหรือกับเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มที่ (คล้าย chat room) ส่วนผู้สอน สามารถตั้งโปรแกรมติดตามพัฒนาการประเมินผลการเรียนรวมทั้งประสิทธิภาพของหลักสูตรได้ ทั้งนี้ ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ เวลา (Any Where & Any Time) ของผู้เรียนในชั้นและผู้สอน


ที่มา : http://wongketkit.blogspot.com/2008/09/blog-post_5813.html

นวัตกรรมทางการศึกษาที่สำคัญ


     นวัตกรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการ จะมีการคิดและทำสิ่งใหม่อยู่เสมอ ดังนั้น นวัตกรรม จึงเป็นสิ่งที่มีขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ สิ่งใดที่คิดและทำมา นานแล้ว ก็ถือว่า หมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีสิ่งใหม่มาแทนในวงการศึกษาปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่านวัตกรรมทางการศึกษา หรือนวัตกรรมการเรียนการสอน อยู่เป็นจำนวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็น นวัตกรรม เนื่องจากนวัตกรรมเหล่านั้นยังไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จักทั่วไป ในวงการศึกษา นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกันมาก ได้แก่ บทเรียนโปรแกรม ชุดการสอน ศูนย์การเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสอนทางไกล ฯลฯ
     1.บทเรียนโปรแกรม บางครั้งเรียกว่า บทเรียนสำเร็จรูป programed book, Scramble book บทเรียนด้วยตนเอง เป็นบทเรียนที่จัดลำดับประสบการณ์ให้กับผู้เรียนโดยอาศัยหลักความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ มีลักษณะที่สำคัญคือ เนื้อหาของบทเรียน ถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ สั้นๆ เรียกว่า "กรอบ" (Frame) ซึ่งจะถูกจัดลำดับขึ้นจากสิ่งที่ง่าย ไปหาสิ่งที่ยาก แต่ละกรอบมีคำอธิบายและคำถามต่อเนื่องกันไป คำถามอาจให้ เติมคำ ถูกผิด หรือเลือกคำตอบ เมื่อผู้เรียนตอบคำถามแล้ว จะสามารถตรวจคำตอบได้ทันทีว่า คำตอบของคนนั้นถูกหรือผิด นักเรียนจะศึกษาไปตามลำดับขั้นและ ปฏิบัติตามคำแนะนำที่กำหนดไว้ในแบบเรียน แบบเรียนนี้จะทำหน้าที่แทนครูเป็นรายตัว (Tutor)
     2.เครื่องสอน (Teaching machine) เครื่องสอนคือ เครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สอนนักเรียนเป็นรายบุคคล มีส่วนประกอบ ที่สำคัญคือรายการสอน(Programs) ซึ่งหมายถึง สิ่งพิมพ์ หรือสิ่งที่เขียนเป็นรายการป้อนเข้าไปในเครื่องสอนเพื่อใช้เป็นบทเรียนให้นักเรียน เรียนได้ด้วยตนเองผู้เรียนจะต้องสามารถเข้าใจได้ทันทีและกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้อยากเห็นอยู่ได้ตลอดเวลา เครื่องสอนอาจรวมเอาสื่อ หรือเทคนิคหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งจะเป็นการเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น
     3.การใช้คอมพิวเตอร์การเรียนการสอน (CAI) ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ ได้ถูกนำมาใช้กับการเรียนการสอนมากขึ้น ทั้งในรูปของคอมพิว เตอร์จัดการสอน(CMI) และคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) กลายเป็นรูปแบบของการเรียนการสอนแนวใหม่ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง บทเรียนของคอมพิวเตอร์จะถูกทำให้เป็นโปรแกรมที่แปลกใหม่ ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อหน่ายต่อการเรียนและดูเหมือนว่า คอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบทเรียนแบบโปรแกรม
    4.ชุดการสอน และโมดูล (Instructional packages and module)เป็นวิธีการจัดเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เลือกสรรแล้ว อันประกอบด้วย จุดมุ่งหมาย เนื้อหาและวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลาย ที่รวบรวมไว้เป็นระเบียบ เพื่อให้ครูหรือผู้เรียนได้ศึกษาจากประสบการณ์ทั้งหมดนี้ชุดการสอนสร้างขึ้นโดยอาศัยหลักการและทฤษฏีที่สำคัญ คือการใช้สื่อประสม และการใช้วิธีวิเคราะห์ระบบ รู้จักแพร่หลายในชื่อต่างๆ กัน เช่น Learning package, Instructional Packages, Instructional Kits. ฯลฯ
     5.การสอนเป็นคณะ (Team teaching) การสอนเป็นคณะเป็นการจัดการเรียนการสอนแบบหนึ่ง ที่จัดให้ครู ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ทำการสอนร่วมกัน โดยอาจอาศัยครูผู้ช่วย มาช่วยงานด้านวางแผนการสอน เพื่อให้ได้ประโยชน์จาก ความสามารถพิเศษของครูผู้ร่วมคณะ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Team teaching จำนวนนักเรียน ในทีมการสอนหนึ่งๆ อาจมีจำนวนตั้งแต่ 40 - 300 คน การจัดกลุ่มคำนึงถึง อายุ ความสนใจ ความถนัด อาจใช้ชั้นเรียนเดิมหรือคละกัน ทั้งนี้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของคณะ มีการแบ่งกลุ่มย่อย 12-20 คน คณะครูควรอยู่ระหว่าง 5-7 คน ซึ่งมีทั้งผู้มีความรู้ทั่วไปและเฉพาะทาง ครูในทีมแต่ละคนจะต้องสอนร่วมกันมีการประชุมปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันอยู่เสมอ รับผิดชอบการสอนทั้งในกลุ่มใหญ่และเป็นผู้รับผิดชอบประจำกลุ่มย่อย
     6.ศูนย์การเรียน (Learning center) เป็นการจัดเนื้อหาวิชาออกเป็นหน่วยๆ แต่ละหน่วยจะมีกิจกรรม อุปกรณ์และเนื้อหา วิชาแตกต่างกัน ผู้เรียนจะเรียนรู้ด้วยการประกอบกิจกรรมจากหน่วยต่าง ๆ ตามที่กำหนดในแต่ละหน่วยการเรียนภายใต้การควบคุมของผู้สอนโดยอาศัยหลักการและทฤษฏีที่สำคัญ คือ การใช้สื่อประสม กระบวนการกลุ่ม
     7.การสอนแบบจุลภาค (Micro teaching) เป็นการสอนที่ย่อส่วน หรือจำลองสถานการณ์มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างรัดกุมเป็นการสอน ในสถานการณ์ของห้องเรียนแบบง่ายๆ กับนักเรียน 5-10 คน ใช้เวลา 5 - 15นาที เปิดโอกาสให้ครูได้ฝึกฝนทักษะการสอนใหม่ ๆ หลังจากได้ดูแบบหรือตัวอย่างมาแล้ว ขณะสอน มีการบันทึกภาพเพื่อให้ครูได้ดูการสอนของตน จะได้ปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้น ก่อนนำไปทำการสอนจริงๆ การสอนแบบนี้เหมาะสำหรับการฝึกอบรมครูหรือ การสอนนักศึกษาครู
     8.การจัดตารางเรียนแบบยืดหยุ่น (Flexible scheduling) เกิดจากแนวความคิดที่ว่า การเรียนรู้ในแต่ละเนื้อหาวิชานั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเท่ากันเพราะการเรียนรู้ในแต่ละวิชาย่อมมีระดับความยากง่าย และวิธีการจัดลำดับ การเรียนรู้ ที่แตกต่างกันออกไป อีกประการหนึ่งก็คือ ผู้เรียนนั้นย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางด้าน สติปัญญา ความสามารถ และช่วงความสนใจของผู้เรียนที่มีต่อวิชาต่าง ๆ นั้นไม่เท่ากัน เด็กเล็กจะมีช่วงความสนใจ ในบางวิชาเพียง 10 -15 นาที แต่เด็กโต จะมีช่วงความสนใจที่มากกว่า ดังนั้นการจัดตารางสอน จึงต้องจัดให้เหมาะสมสำหรับแต่ละวิชา
     9.โครงการส่งเสริมสมรรถภาพการสอน (RIT) เป็นการจัดระบบการเรียนการสอน ที่จะลดเวลาที่ครูจะต้องสอนหรือเกี่ยวข้องกับนักเรียนให้น้อยลงกว่าอัตราเวลาเป็นอยู่ในปัจจุบันโดยไม่ทำให้คุณภาพการศึกษา หรือผลการเรียนของนักเรียน ลดลงกว่าเดิม เช่นเดิมที่ครูต้องใช้เวลาสอน 60 นาที แต่หากนำนวัตกรรมนี้มาใช้แล้วอาจจะลดเวลาเหลือเพียง 15-30 นาทีเท่านั้น ที่นักเรียนจะเรียนกับครู เวลาที่เหลือ นักเรียนก็จะเรียนกับสื่อการเรียนต่าง ๆ ที่จัดไว้ให้ ช่วยให้ครูมีเวลา ตรวจงานนักเรียน กวดขันนักเรียนอ่อน หรือที่เรียนไม่ทันเพื่อน ครูคนหนึ่งอาจสอนนักเรียนได้หลายห้องเพราะสามารถใช้เวลาที่เหลือจากการสอนห้องหนึ่ง ไปสอนอีกห้องหนึ่งได้
     10.การใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษา เนื่องจากปัจจุบัน สื่อมวลชนประเภทต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสารนิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันในด้านการรับรู้ข่าวสาร การสร้างค่านิยม และการศึกษาประชาชนอย่างกว้างขว้าง การใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษามีทั้งในรูปการศึกษาทั่วไป และการศึกษาในวิชาการเฉพาะสาขา คุณค่าของการใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษา คือ สามารถให้การศึกษาแก่ประชาชนได้รวดเร็ว และได้จำนวนมากพร้อมๆ กัน นอกจากนวัตกรรมทางการศึกษาต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ยังมีนวัตกรรมทางการศึกษาอีกหลายอย่าง ที่นักศึกษา ผู้สนใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเอกสารตำราที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา

ที่มา : http://wongketkit.blogspot.com/2008/09/blog-post_02.html

มิติใหม่แห่งการศึกษาไร้พรมแดน




มิติใหม่แห่งการศึกษาไร้พรมแดน
     Asynchronous Learning คือ รูปแบบการเรียนการสอนที่ผู้สอน และผู้เรียนไม่จำเป็นต้องพบกันตามเวลาในตาราง ที่กำหนดไว้ (Synchronous Learning) แต่ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา โดยใช้เครื่องมือสื่อ สารต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา และสถานที่ ผู้เรียนสามารถเรียนที่ไหน เวลาใดก็ได้ (Anywhere Anytime) เป็นการเรียนที่อาศัยวิธีการ หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ในลักษณะที่ปฏิสัมพันธ์ และมีส่วนร่วมช่วยเหลือกันระหว่าง ผู้เรียน โดยใช้แหล่ง ข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกล ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้า หรือเข้าถึงข้อมูลความรู้เหล่านั้น จากที่ไหน และเวลาใดก็ได้ ตามความต้องการและความสะดวกของผู้เรียนเอง ซึ่ง Asynchronous Learning เป็นการใช้การสื่อสารระยะไกล (Telecommunication) เพื่อช่วยให้การเรียนรู้มีลักษณะใกล้เคียงกับการเรียนในระบบห้องเรียนหรือการเรียนการสอนที่ผู้สอนกับผู้เรียนได้พบหน้ากัน (Face - to - Face Instruction)

     แนวคิดเกี่ยวกับ Asynchronous Learning คือการนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การสื่อ สาร และความสามารถของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้แก่ ระบบโทรทัศน์ ระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ รวมทั้งโปรแกรมสำเร็จรูป (Software) ต่าง ๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อการศึกษา ทำ ให้สามารถขจัดข้อจำกัดของการเรียนการสอนในลักษณะที่ผู้สอนและผู้เรียนต้องมีเวลาตรงกัน ใน ลักษณะตารางสอน (Synchronous Learning) มีสถานที่ตรงกัน อาจจะเป็นห้องเรียน หรือสถานที่ ใดที่หนึ่งจึงจะมีกิจกรรมการเรียนการสอน ที่ทำให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนในลักษณะ Face - to - Face แต่ถ้าหากใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ การเรียนรู้ในลักษณะดังกล่าว สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยที่ ผู้เรียนและผู้สอนไม่จำเป็นต้อง มีเวลาและสถานที่ตรงกัน นั่นคือ ผู้เรียนสามารถเรียนจากที่ไหนและเวลาใดก็ได้ ตามความต้องการ ของผู้เรียนเอง โดยผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น Multimedia Computer, Telephone และ Computer Linking Infrastructure, The Internet และ World Wide Web, E - Mail, Conference System และอื่น ๆ เช่น Audio - Video

องค์ประกอบของการจัดการศึกษาแบบอะซิงโครนัส
Asynchronous Learning มีองค์ประกอบ ดังนี้
1. แหล่งข้อมูลระยะไกล (Remote Resource) ที่ต้องใช้เครื่องมือ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการ เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น
- E - Mail
- Web Board, White Board, Bulletin Board
- Web Phonelink
- Chat - Talk online
- Video Conference
- FTP
- Course Homepage
- Course Syllabus
- Lecture Note
- Tutorials
- Homework Assignments
- Slides
- Multimedia Coureware
- Interactive Multimedia Coureware
- Hypermedia Coureware
- Visual Library

2. การเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Learning) โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
2.1 ผู้เรียนจะเป็นผู้ควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นในการเรียนการสอนตามความต้องการของตนเอง
2.2 เป็นการเรียนในลักษณะของการสื่อสารสองทาง (Two - Way Communication) ทั้ง ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกัน และระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน

3. การเรียนแบบร่วมมือกัน (Collabrative Learning) เป็นการเรียนแบบช่วยเหลือกัน ซึ่งการเรียน แบบนี้คือ นักเรียนร่วมกันทำงานในกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักร่วมกัน

4. การเรียนการสอน ที่ไม่จำเป็นต้องเรียนตามตารางสอน (Teaching and Learning in Asynchronous Learning) เป็นการเรียนการสอนแบบ Asynchronous ซึ่งผู้สอน และผู้เรียนมี บทบาท ดังนี้
4.1 บทบาทของผู้สอน ผู้สอนจะเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง เป็นโค้ช และผู้อำนวยความสะดวกในการ เรียนการสอน โดยถือว่าผู้สอนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในการเรียนการสอนด้วย
4.2 บทบาทของผู้เรียน ต้องค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเองในการเรียนแบบช่วยเหลือกัน และต้องมี ปฏิสัมพันธ์กัน ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้อย่างกระฉับกระเฉง ไม่ใช่ให้ครูเป็นผู้นำความรู้มาให้เพียงฝ่าย เดียว และต้องมีการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

5. เทคนิคการเรียนแบบ Asynchronous (Asynchronous Techniques) ประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้
- Web - Based Instruction
- Web - Based Interactive Learning Environment
- WWW - Based Education
- Interactive Education Aids
- World Lecture Hall
- World - Based Multimedia

6. การใช้ Web Based Course คือการที่ผู้สอนให้รายละเอียดทั้งด้านเนื้อหา แหล่งค้นคว้า แบบฝึกหัด ฯลฯโดยการนำรายละเอียดดังกล่าวใส่ไว้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ เรียกใช้ได้ตลอดเวลา สิ่งที่สนับสนุนให้เกิดลักษณะการเรียนการสอนแบบ Asynchronous มีดังนี้
6.1 การเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Center)
6.2 การเรียนรู้แบบช่วยเหลือกัน (Collaborative Learning)
6.3 มีการเสริมเนื้อหา (Content Reinforcement)
6.4 ง่ายในการรับข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ทั่วโลก
6.5 รับข้อมูลได้รวดเร็ว ทันเวลา และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
6.6 การเรียนการสอนแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive Learning)
6.7 การให้ความรู้ผ่านสื่อหลากหลาย (Multimedia)

     ลักษณะการเรียนการสอนแบบ Asynchronous Learning ที่กล่าวมาข้างต้น มีการนำ เทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการสื่อสาร ทั้งนี้เพื่อนำมาใช้สนับสนุนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเลือกสถานที่ เวลา และ สื่อการเรียนได้ตามความต้องการ


ที่มา : http://wongketkit.blogspot.com/2008/09/blog-post_8172.html

ซอฟต์แวร์ต่อยอดการเรียนรู้แท็บเล็ต - ฉลาดทันกาล

     
      การใช้แท็บเล็ต (Tablet) โดยให้ผู้เรียนและผู้สอนมีแท็บเล็ตพีซีเป็นของตนเองอย่างทั่วถึง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการใช้อย่างมีประสิทธิผล โดยพบว่าการใช้แท็บเล็ตเป็นการสร้างแรงจูงใจของผู้เรียนและมีผลกระทบในทางบวกต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อีกทั้งช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองเข้าถึงองค์ความรู้นอกห้องเรียนอย่างได้กว้างขวาง และตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้จัดโครงการหนึ่งคอมพิวเตอร์ หนึ่งนักเรียน หรือ One Tablet PC Per Child นั้น ขณะนี้มีนักเรียนได้รับแท็บเล็ตไปแล้วทั้งสิ้น  179,984 คน 
      ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีการต่อยอดการใช้แท็บเล็ตของนักเรียน โดยการนำระบบ Learning Management System หรือ LMS มาใช้ควบคู่กับการเรียนการสอนในแท็บเล็ต ระบบดังกล่าวเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ ประกอบด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ดูแลระบบ โดยผู้สอนสามารถนำเนื้อหาและสื่อการสอนใส่ไว้ในโปรแกรมได้สะดวก ผู้เรียนและผู้สอนสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารที่ระบบจัดไว้ให้ได้ทุกองค์ประกอบ มีการเก็บบันทึกข้อมูล กิจกรรมการเรียนของผู้เรียนไว้บนระบบเพื่อผู้สอนสามารถนำไปวิเคราะห์ ติดตามและประเมินผลการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      ดร.ชินภัทร  ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) อธิบายว่า บริษัท ซัมซุง จำกัด ได้มานำเสนอระบบซอฟต์แวร์สำหรับการใช้งานกับเครื่องแท็บเล็ต เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีทิศทางในการจัดทำโครงการนำร่องต่อยอดการใช้แท็บเล็ตตามโครงการแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาไทยของรัฐบาล เพราะต้องการเพิ่มศักยภาพการใช้งานแท็บเล็ตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย สพฐ. จะนำระบบ Learning Management System หรือ LMS ซึ่งเป็นระบบที่ช่วย
      บริหารจัดการการเรียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) ประกอบไปด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สอน ผู้เรียน เช่น ผู้สอนสามารถจัดการเนื้อหาบทเรียนเองได้ 
ระบบนี้จะช่วยให้การเรียนการสอนในห้องเรียนมีการเชื่อมโยงระหว่าง ครูผู้สอนและนักเรียนได้ เช่น ครูจะติดตามความรู้ความสามารถการใช้งานแท็บเล็ตของเด็กแต่ละคน รวมทั้งระบบยังสามารถเก็บข้อมูลการเข้าเรียนเเละคะแนนการทำบททดสอบ เพื่อนำมาวิเคราะห์ ติดตาม เเละประเมินผลการเรียนการสอนในรายวิชานั้น ๆ ได้ ซึ่งเท่ากับว่าระบบนี้จะทำให้การเรียนการสอนด้วยแท็บเล็ตมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า  ทั้งนี้ระบบดังกล่าวเป็นระบบที่เข้าถึงเนื้อหาโดยเฉพาะระบบอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจะเป็นโอกาสให้ภาคเอกชนได้มีโอกาสสร้างแอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ มานำเสนอเพื่อบรรจุใส่ในแท็บเล็ตของนักเรียนได้เหมือนเปิดโลกคอนเทนต์ให้กว้างมากขึ้น ซึ่ง สพฐ.จะมีการทดสอบการใช้งานกับโรงเรียนที่มีพื้นที่แตกต่างกันออกไปพร้อมอุปกรณ์เสริมในการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้ดังนั้นเรื่องนี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ต้องรอให้มีระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย หรือไวไฟ ก็สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวจะเริ่มเดินหน้าประมาณเดือนพฤศจิกายน– ธันวาคม 2555  โดยจะนำร่องในโรงเรียน 10 โรง หากประสบความสำเร็จก็จะขยายผลให้ครอบคลุมโรงเรียนทั่วประเทศ นอกจากนี้เราจะคัดเลือกผลงานของครูที่มีนวัตกรรมการเรียนการสอนเก่ง ๆ ขึ้นเว็บไซต์ สพฐ. เพื่อให้เป็นต้นแบบของครูคนอื่น ๆ นำไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนของตนเองได้
      ผลลัพธ์ของการเรียนรู้แบบดิจิทัลจะสามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ช่วยปลูกฝังกระบวนการคิด วิเคราะห์ การศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมของเด็กไทยให้มีคุณภาพได้หรือไม่ เพราะนาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าคอมพิวเตอร์กลายเป็นสื่อหนึ่งในการเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมไปแล้ว.




“แท็บเล็ต ไว-ไฟฟรี” ผลงานเด่นไอซีที


      รมว.ไอซีที แถลงผลงาน 1 ปี ชู “แท็บเล็ต-ไวไฟฟรี” ผลงานเด่น ส่วนผลงานที่ภูมิใจคือ การส่งตรงบริการภาครัฐสู่ประชาชนได้มีประสิทธิภาพ   
      น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แถลงข่าวผลงานของกระทรวงไอซีทีในรอบ 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 54-23 ส.ค. 55 โดยแบ่งเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและนโยบายเร่งด่วน โดยโครงการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาตามโครงการคอมพิวเตอร์มือถือสำหรับนักเรียนทุกคน (One Tablet
PC Per Child) จำนวนกว่า 8 แสนเครื่องขณะนี้ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและได้ทยอยแจกให้กับนักเรียนชั้น ป.1แล้ว ส่วนโครงการ ฟรี ไว-ไฟ ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สายในพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนได้ใช้งานฟรี คาดว่ามีให้บริการครอบคลุม 250,000 จุดทั่วประเทศภายในปี 2555 
      น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาผลงานที่ภูมิใจมากที่สุด คือ การทำให้บริการของภาครัฐเชื่อมโยงสู่การให้บริการแก่ประชาชนได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยเฉพาะระบบพยากรณ์และการเตือนภัยที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ได้บูรณาการร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ.

ที่มา : http://www.dailynews.co.th/technology/152954


ฮาร์ดดิสก์"อัลตร้าบุ๊ก"บางได้อีกแค่ 5 มม.

       [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] จะว่าไป ฮาร์ดดิส์กที่มีความหนาแค่ 7 มม.ก็ถือว่าบางมากแล้วนะ แต่ล่าสุด Western Digital หรือ WD ที่คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip คุ้นเคยกันดี (หลายคนน่าจะเคยช้อปเอ็กซ์เทอนัลฮาร์ดดิสก์ของแบรนด์นี้ในงาน COMMART :P) ได้ประกาศเปิดตัวฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี"ไฮบริด" (HDD + SSD) โดยมีความหนาแค่ 5 มม. (บางกว่าท้องตลาดลงอีก 2 มม.) ซึ่งน่าจะได้ใจผู้ผลิตอัลตร้าบุ๊กที่ต้องการออกแบบให้เครื่องของตนบางลงได้อีก



       อัลตร้าบุ๊ก (Ultrabook) โน้ตบุ๊กสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่า มันน่าจะได้รับความนิยมเร็วกว่านี้หากสามารถทำราคาได้ถูกลงกว่าที่เป็นอยู่ แต่ด้วยความบางเบาของพวกมันนี่เอง ที่ทำให้กลายเป็นโจทย์สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนภายในไม่เว้นแม้แต่ฮาร์ดดิสก์ที่ทั้งหนา และหนัก ซึ่งความพยายามก่อนหน้านี้ที่เป็นรูปธรรมกันไปแล้วก็คือ การพัฒนาไฮบริดฮาร์ดดิสก์ที่บางเบา โดยมีความหนาแค่เพียง 7 มม. เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมันยังหนาในความรู้สึกของผู้ผลิตอัลตร้าบุ๊กอยู่ดี ว่าแล้ว WD ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปจนสามารถทะลายข้อจำกัดด้วยการออก "ไฮบริดฮาร์ดดิสก์" รุ่นใหม่ที่มีความจุสูงถึง 500GB (ทั้งฮาร์ดดิสก์ และหน่วยความจำแฟลช) ภายในเคสทีมีความหนาเพียง 5 มม.เท่านั้น


      สำหรับไฮบริด-ฮาร์ดดิสก์ของ WD จะแตกต่างจากเทคโนโลยีของ Seagate โดยมันจะมีการใช้ข้อได้เปรียบจากหน่วยความจำแฟลช NAND แบบหลายชั้น ซึ่งระบบการทำงานของมันจะคล้ายกับที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ โดยข้อมูลที่เข้าถึงบ่อยๆ (hot data) จะถูกจัดการโดยใช้ความเร็วของหน่วยความจำแฟลช NAND เพื่อให้ตอบสนองได้เร็ว ในขณะที่่ข้อมูลที่ไม่ถูกเข้าถึงบ่อย (cold data) จะอยู่บนฮาร์ดดิสก์ นอกจากนีั้ ฮาร์ดดิสก์ยังทำหน้าที่แบ็คอัพไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ใน NAND เพื่อป้องกันหากเกิดความเสียหายขึ้นกับหน่วยความจำแฟลช และเพื่อความพร้อมในการใช้ข้อมูลเร่งด่วน เทคโนโลยีไฮบริดของ WD ยังทำงานร่วมกับโอเอสของพีซี เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดมากกว่าเทคโนโลยีไฮบริดในปัจจุบัน จากสภาพตลาดของสตอเรจวันนี้ ยิ่งผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์สามารถทำมันได้บางลงเท่าไร ยิ่งเป็นโอกาสในการเข้าไปอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่าง Ultrabook มากเท่านั้น โดยเฉพาะ Acer และ Asus ที่แข่งกันทำให้อัลตร้าบุ๊กรุ่นใหม่ๆ ในซีรียส์ Aspires และ Zenbooks บางลงเรื่อยๆ ประเด็นคำถามที่ตามมาคือ แล้วไฮบริด-ฮาร์ดดิสก์บางเฉียบของ WD จะวางตลาดเมื่อใด หวังว่า มันคงจะไม่นานเกินไปนักนะครับ

ที่มา :  ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์



พวงกุญแจ"คีย์บอร์ดแสง"มือถือ,แท็บเล็ต


     [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] ช่วงหลังเห็นหลายคนสามารถพิมพ์บนคีย์บอร์ดเสมือนบนหน้าจอสัมผัสอย่างไอแพด (iPad) หรือแท็บเล็ตต่างๆ ได้แบบคีย์บอร์ดจริงมากขึ้น ไม่นับรวมนิ้วจิ้มบนหน้าจอสมาร์ทโฟนที่พิมพ์ได้เร็วไม่แพ้กัน ด้วยเหตุนี้แก็ดเจ็ตอย่าง "คีย์บอร์ดเสมือน" ที่ใช้แสงเลเซอร์ยิงลงไปบนพื้นผิวแล้วพิมพ์ได้ จึงกลับมาอีกครั้งด้วยขนาดที่สะดวกพกกว่าเดิม โดยมันมีขนาดเท่าๆ กับพวงกุญแจเท่านั้น


     ก่อนหน้านี้มีการนำเสนอแก็ดเจ็ตประเภท Laser virtual keyboards ออกมาวางตลาดกันพอสมควร โดยเป้าหมายคือ ความพยายามทำให้มันเล็กลง และตอบสนองการพิมพ์ได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ราคาถูกลงเรื่อยๆ จำได้ว่ารุ่นแรกๆ ที่เคยซื้อมาทดลองใช้ราคาหลักหมื่นเลย ขนาดก็ไม่สะดวกพกพาเท่าใดนัก แต่ล่าสุดพวกมันกลับมาด้วยขนาดเล็กเท่าพวงกุญแจ แถมยังเบาทั้งน้ำหนัก และราคาอีกด้วย สำหรับพวงกุญแจคีย์บอร์ดแสงเลเซอร์ที่นำมาฝากกันเช้านี้ จะสามารถเปลี่ยนพื้นผิวเรียบให้กลายเป็นคีย์บอร์ดแสงสำหรับสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตของคุณได้ โดยมันจะจับคู่กับอุปกรณ์โมบายผ่านการเชื่อมต่อไร้สายบูลทูธ ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้งานกับแก็ดเจ็ตใดๆ ทีสนับสนุนมาตรฐานไร้สายนี้

     พวงกุญแจคีย์บอร์ดแสงเลเซอร์จะสามารถชาร์จแบตฯ Li-ion ทีอยู่ภายในผ่านทางพอร์ต USB อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเบื้องต้นไม่ได้ระบุว่า พวกมันสามารถใช้กับไอแพด หรือไอโฟน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ได้ หรือไม่? แต่จากในรูปดูเหมือนจะแสดงการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 5 - 7 นิ้ว พวงกุญแจคีย์บอร์ดแสงเลเซอร์จะเปิดให้สั่งจองบนเว็บไซต Brookstone ด้วยสนนราคา 99.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,000 บาท โดยจะเริ่มส่งสินค้าให้กับผู้สั่งจองตั้งแต่วันที 1 ตุลาคม ศกนี้เป็นต้นไป

ที่มา :
ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์

วงโคจรดาวเทียม



วงโคจรดาวเทียม
     
เกรินนำ ดาวเทียม (อังกฤษ: Satellite) คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ที่สามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัยแรงดึงดูดของโลก ส่งผลให้สามารถโคจรรอบโลกได้ในลักษณะเดียวกันกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วัตถุประสงค์ของสิ่งประดิษฐ์นี้เพื่อใช้ ทางการทหาร การสื่อสาร การรายงานสภาพอากาศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เช่นการสำรวจทางธรณีวิทยาสังเกตการณ์สภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวอื่นๆ รวมถึงการสังเกตวัตถุ และดวงดาว ดาราจักร ต่างๆ

วงโคจรของดาวเทียม
      วงโคจรสำหรับดาวเทียมสื่อสารโทรคมนาคม

      วงโคจรสำหรับดาวเทียมที่ใช้ในการสื่อสารโทรคมนาคม สามารถจำแนกได้ 3 แบบ ได้แก่ วงโคจรค้างฟ้า (geo-stationary orbit, GEO) วงโคจรจีโอซิงโครนัส (geo-synchronous orbit, GSO) และ วงโคจรโลกต่ำ (low Earth orbit)
      วงโคจรดาวเทียม (Satellite Orbit) เมื่อแบ่งตามระยะความสูง (Altitude) จากพื้นโลกแบ่งเป็น 3 ระยะ ในระนาบเดียวกันคือ
          1.วงโคจรต่ำของโลก (Low Earth Orbit  : LEO) คือระยะสูงจากพื้นโลกไม่เกิน 2,000 กม. ใช้ในการสังเกตการณ์ สำรวจสภาวะแวดล้อม, ถ่ายภาพ ไม่สามารถใช้งานครอบคลุมบริเวณใดบริเวณหนึ่งได้ตลอดเวลา เพราะมีความเร็วในการเคลื่อนที่สูง แต่จะสามารถบันทึกภาพคลุมพื้นที่ตามเส้นทางวงโคจรที่ผ่านไป ตามที่สถานีภาคพื้นดินจะกำหนดเส้นทางโคจรอยู่ในแนวขั้วโลก (Polar Orbit) ดาวเทียมวงโคจรระยะต่ำขนาดใหญ่บางดวงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเวลาค่ำ หรือก่อนสว่าง เพราะดาวเทียมจะสว่างเป็นจุดเล็ก ๆ เคลื่อนที่ผ่านในแนวนอนอย่างรวดเร็ว ดาวเทียมที่โคจรในวงโคจรนี้สามารถถูกนำมาใช้งานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมได้ แต่จำเป็นต้องใช้ดาวเทียมเป็นจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า กลุ่มดาวเทียม (satellite constellation) เนื่องจากระยะเวลาการสื่อสารระหว่างดาวเทียมกับผู้ใช้บนพื้นโลกจะมีช่วงเวลาที่สั้นประมาณ 10-15 นาที ดังนั้นจึงต้องใช้ดาวเทียมดวงถัดไปโคจรมารับช่วงการสื่อสาร กลุ่มดาวเทียมที่สำคัญในวงโคจรนี้ได้แก่ กลุ่มดาวเทียมอิริเดียม (Iridium) โกลปอลสตาร์ (Global Star) และ เทเลดีซิค (Teledecis)
          2.วงโคจรระยะปานกลาง (Medium Earth Orbit "MEO")อยู่ที่ระยะความสูงตั้งแต่ 1,000 กม. ขึ้นไป ส่วนใหญ่ใช้ในด้านอุตุนิยมวิทยา และสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารเฉพาะพื้นที่ได้ แต่หากจะติดต่อให้ครอบคลุมทั่วโลกจะต้องใช้ดาวเทียมหลายดวงในการส่งผ่าน
          3.วงโคจรประจำที่ (Geostationary Earth Orbit "GEO")เป็นดาวเทียมเพื่อการสื่อสารเป็นส่วนใหญ่ อยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 35,780 กม. เส้นทางโคจรอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตร (Equatorial Orbit) ดาวเทียมจะหมุนรอบโลกด้วยความเร็วเชิงมุมเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเองทำให้ดูเหมือนลอยนิ่งอยู่เหนือ จุดจุดหนึ่งบนโลกตลอดเวลา ดาวเทียมจะอยู่กับที่เมื่อเทียบกับโลกมีวงโคจรอยู่ในระนาบเดียวกันกับเส้นศูนย์สูตร    วงโคจรพิเศษนี้เรียกว่า “วงโคจรค้างฟ้า” หรือ “วงโคจรคลาร์ก” (Clarke Belt) เพื่อเป็นเกียรติแก่นาย อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก ผู้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับวงโคจรนี้ เมื่อ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1945
วงโคจรคลาร์ก เป็นวงโคจรในระนาบเส้นศูนย์สูตร (EQUATOR) ที่มีความสูงเป็นระยะที่ทำให้ดาวเทียมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเชิงมุมเท่ากันกับการหมุนของโลก แล้วทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางมีค่าพอดีกับค่าแรงดึงดูดของโลกพอดีเป็นผลให้ดาวเทียมดูเหมือนคงอยู่กับที่ ณ ระดับความสูงนี้ ดาวเทียมค้างฟ้าส่วนใหญ่ใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศและภายในประเทศ เช่น ดาวเทียมอนุกรม อินเทลแซต อินมาแซท ๆลๆ
           ดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญๆ และ โคจรอยู่ในวงโคจรค้างฟ้า ได้แก่ ดาวเทียมอินเทลแซท และ ดาวเทียมอินมาแซท

          วงโคจรค้างฟ้าเป็นวงโคจรแบบวงกลมมีความสูงจากจุดศูนย์กลางโลกประมาณ 40,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 35,786 กิโลเมตรจากผิวโลก โดยมีคาบเวลาการโคจรครบหนึ่งรอบประมาณ 24 ชั่วโมง ลักษณะที่สำคัญของวงโคจรค้างฟ้าก็คือระนาบวงโคจรอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบเส้นศูนย์สูตรของโลก (แลททิจูด 0 องศา) ทำให้ผู้สังเกตจากพื้นโลกเห็นดาวเทียมดังกล่าวอยู่กับที่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของดาวเทียมเทียบกับความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลกมีค่าใกล้เคียงกันมาก ทำให้ดูเสมือนว่าดาวเทียมอยู่กับที่ จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อวงโคจรแบบนี้ว่า “วงโคจรค้างฟ้า” หรือ “geo-stationary orbit” ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งที่สำคัญของวงโคจรค้างฟ้าก็คือเป็นวงโคจรที่มีวงโคจรเดียว ไม่เหมือนกับกรณีของวงโคจรจีโอซิงโครนัส ซึ่งมีได้มากกว่าหนึ่งวงโคจรดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้าที่ถูกใช้งานด้านสื่อสารโทรคมนาคมจะเหมาะสำหรับกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ในบริเวณแลททิจูดที่ไม่สูงมากนัก และจำเป็นต้องใช้ดาวเทียมจำนวน 3 ดวงขึ้นไปเพื่อให้การสื่อสารสามารถคลอบคลุมพื้นที่เกือบทั่วโลก
          วงโคจรจีโอซิงโครนัสเป็นวงโคจรที่มีคาบเวลา 24 ชั่วโมง โดยที่รูปทรงของวงโคจรอาจจะเป็น แบบวงกลม หรือ แบบวงรี โดยที่ระนาบวงโคจรจะทำมุมกับระนาบเส้นศูนย์สูตรของโลก ดังนั้นจำนวนวงโคจรแบบนี้สามารถมีได้มากกว่าหนึ่งวงโคจร ดาวเทียมในวงโคจรนี้เหมาะสำหรับใช้งานสื่อสารโทรคมนาคมให้กับกลุ่มประเทศที่อยู่บริเวณขั้วโลก อาทิเช่น รัสเซีย ประเทศในแถบสแกนดินีเวีย ตัวอย่างของดาวเทียมวงโคจรจีโอซิงโครนัส ได้แก่ มอลนิยา (Molniya) ของรัสเซีย โดยมีมุมอินไคเนชัน 63.4 องศา กายภาพของวงโครจรค้างฟ้า และ วงโคจรจีโอซิงโครนัส แสดงในรูปที่ 1





รูปที่ 1. วงโคจรค้างฟ้า (GEO)และ วงโคจรจีโอซิงโครนัส (GSO)

          เมื่อพิจารณาการติดตามดาวเทียมโดยสถานีพื้นดิน จะพบว่าผลการติดตามดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้าจะเป็นจุดอยู่กับที่ แต่สำหรับกรณีของดาวเทียมวงโคจรจีโอซิงโครนัสจะเป็นเลขแปด โดยความสูงของเลขแปดจะขึ้นอยู่กับมุมอินไคเนชันของวงโคจร ดังแสดงในรูปที่ 2



รูปที่ 2. ผลการติดตามดาวเทียม วงโคจรจีโอซิงโครนัส (GSO)



รูปที่ 3. ดาวเทียมสื่อสารเชิงพาณิชย์ในวงโคจรจีโอซิงโครนัส (GSO) และ วงโคจรค้างฟ้า (GEO)





อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก
          เซอร์ อาร์เธอร์ ชาลส์ คลาร์ก (อังกฤษ: Sir Arthur Charles Clarke; 16 ธันวาคม ค.ศ. 1917 – 19 มีนาคม ค.ศ. 2008) เป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งผลงานของเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ได้แก่นิยายชุด จอมจักรวาล (Space Odyssey) และชุด ดุจดั่งอวตาร (Rendezvous with Rama)
ผลงานเขียนนวนิยายของคลาร์ก มีความริเริ่มสร้างสรรค์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน สิ่งประดิษฐ์จำนวนมากได้แรงบันดาลใจจากนิยายของคลาร์ก เช่น ดาวเทียม การสำรวจอวกาศ ลิฟต์อวกาศ
คลาร์ก อาศัยอยู่ที่กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา เขาเดินทางเข้ามาอยู่ประเทศนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2499 และพักอาศัยอยู่อย่างถาวรจนได้รับสัญชาติศรีลังกา ชาวศรีลังกาถือว่าเขาเป็น "ความภูมิใจของลังกา" มอบรางวัล The Lankabhimanaya award (Pride of Lanka) ให้เป็นเกียรติเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548
ช่วงบั้นปลายชีวิต คลาร์กป่วยด้วยโรคโปลิโอต้องนั่งบนรถเข็นตลอดเวลา เขาเสียชีวิตเมื่อเช้ามืดของวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551 ด้วยวัย 90 ปี ศพของเขาทำพิธีฝังอย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ ในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551 ที่เมืองโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา


ที่มา :  อาร์เธอร์ ซี คลาร์กในโคลัมโบ ศรีลังกา
Credit : สารนุกรมเสรี http://th.wikipedia.org
            สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ http://www.space.mict.go.th
            http://techno.bu.ac.th/forum.php?mod=viewthread&tid=20

Electronic Media หรือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์



Electronic Media หรือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร ?
     
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic media) หมายถึง สื่อที่บันทึกสารสนเทศด้วย วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์อาจอยู่ในรูปของ สื่อบันทึกข้อมูลประเภทสารแม่เหล็ก เช่น แผ่นจานแม่เหล็กชนิดอ่อน (floppy  disk) และสื่อประเภทจานแสง (optical  disk) บันทึกอักขระแบบดิจิตอลไม่สามารถอ่านได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บันทึกและอ่านข้อมูล
     ที่นี้ เราลองมาพิจารณาถึง ข้อดี-ข้อเสีย ของสื่อประเภทนี้ว่า เป็นอย่างไรบ้างเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการนำมาใช้ประกอบในการเรียนการสอนและการฝึกอบรมและจะได้นำมาเป็นแนวทางในการออกแบบและสร้างสื่อประเภทนี้ ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ข้อดี-ข้อจำกัด
ข้อดี
1.ขยายขอบเขตของการเรียนรู้ของผู้เรียนในทุกหนทุกแห่ง จากห้องเรียนปกติไปยังบ้าน และที่ทำงาน ทำให้ไม่เสียเวลาในการเดินทาง
2.ขยายโอกาสทางการศึกษาให้ผู้เรียนรอบโลกในสถานศึกษาต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันได้มีโอกาสเรียนรู้พร้อมกัน
3.ผู้เรียนควบคุมการเรียนตามความต้องการ และความสามารถของตนอง
4.การสื่อสารโดยใช้ อีเมล์ กระดานข่าว การพูดคุยสด ฯลฯ ทำให้การเรียนรู้มีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนช่วยเหลือกันในการเรียน
5.กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักการสื่อสารในสังคม และก่อให้เกิดการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งที่จริงแล้ว การเรียนแบบร่วมมือสามารถขยายขอบเขตจากห้องเรียนหนึ่งไปยังห้องเรียนอื่น ๆ ได้โดยการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต
6.การเรียนด้วยสื่อหลายมิติทำให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเนื้อหาได้ตามสะดวกโดยไม่ต้องรียงลำดับกัน
7.ข้อมูลของหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาสามารถหาได้โดยง่าย
8.การเรียนการสอนมีให้เลือกทั้งแบบประสานเวลา คือเรียน และพบกับผู้สอนเพื่อปรึกษา หรือถามปัญหาได้ในเวลาเดียวกัน (Synchronous) และแบบต่างเวลา (Asynchronous) คือเรียนจากเนื้อหาในเว็บ และติดต่อผู้สอนทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
9.ส่งเสริมแนวคิดในเรื่องของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากเว็บเป็นแหล่งความรู้ที่เปิดกว้างให้ผู้ที่ต้องการศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง และตลอดเวลา การ
สอนบนเว็บตอบสนองต่อผู้เรียนที่มีความใฝ่รู้ รวมทั้งมีทักษะ ในการตรวจสอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Meta-Cognitive Skills) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10.การสอนบนเว็บเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ของสถานการณ์จำลอง ทั้งนี้เพราะสามารถใช้ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง  ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ ภาพ 3 มิติ ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงได้

ข้อจำกัด
1.การออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นยังมีน้อย เมื่อเทียบกับการออกแบบโปรแกรมเพื่อใช้ในวงการ อื่น ๆ ทำให้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีจำนวน และขอบเขตจำกัดที่จะนำมาใช้เรียนในวิชาต่างๆ
2.การที่จะให้ผู้สอนเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเองนั้น นับว่าเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา สติปัญญา และความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เป็นการเพิ่มภาระของผู้สอนให้มีมากยิ่งขึ้น
3.เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์เป็นการวางโปรแกรมบทเรียนไว้ล่วงหน้า จึงมีลำดับขั้นตอนในการสอนทุกอย่างตามที่วางไว้ ดังนั้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน จึงไม่สามารถช่วยในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้
4.ผู้เรียนบางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ อาจจะไม่ชอบโปรแกรมที่เรียงตามขั้นตอน ทำให้เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ได้

แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน
        เทคโนโลยีการศึกษาปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic) เข้ามาใช้อย่างมากมาย เครื่องมืออุปกรณ์และเทคนิควิธีการสมัยใหม่ถูกนำมาใช้ทางการศึกษาจนกลายเป็นยุคของอีเลินนิ่ง (e-Learning) และให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้มากกว่า Learning by doing หรือ Learning how to learn ตามแนวคิดของ Instructional Technology ในอดีต
         บทความนี้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาปะปน หมายถึงไม่เกี่ยวกับอี ในคำไทยที่เรียกคำนำหน้าผู้หญิงในอดีต ซึ่งอาจจะมองเป็นคำหยาบในปัจจุบัน ไม่เกี่ยวกับ ไอ้ ในคำไทยที่เรียกคำนำหน้าผู้ชายในอดีต ซึ่งมองเป็นคำสามัญในปัจจุบันที่เรียกขานผู้ชาย แต่ผู้เขียนต้องการเล่นคำและความหมายของคำสำคัญสองคำที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการศึกษาในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีการศึกษาในอดีต ต้องการให้ผู้อ่านเห็นวิวัฒนาการและยอมรับการเข้ามาอย่างมากมายของเทคโนโลยีการศึกษายุคอี (Electronic) ขณะที่คำอันเป็นแนวทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาในอดีตก็จะใช้กลุ่มคำ ประเภทไอ (Instruction) ที่มาจากการเริ่มต้นนับแต่ Programme Instruction ของสกินเนอร์

ยุคที่ผ่านมาของเทคโนโลยีการศึกษา
     
เทคโนโลยีการศึกษาของไทยแต่เดิมจะถือได้ว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่เอ (Audio Visual) ที่ตีความหมายเป็นภาษาไทยว่า โสตทัศนศึกษา ขณะที่ในต่างประเทศการเรียนการสอนของเทคโนโลยีการศึกษาจะเน้นไปที่ไอ (Instructional) และพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาก็ดำเนินแนวทางไปในแนวทางการพัฒนาระบบการเรียนการสอนทั้งสิ้น โดยมีแนวคิดพื้นฐาน Programme Instruction เรียกในภาษาไทยว่า บทเรียนโปรแกรม ซึ่งกว่าได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเอาเทคนิควิธีการและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ทางการศึกษา เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดสอนสาขานี้ที่เรียกชื่อแตกต่างกันไป
     Instructional System Technology : IST เรียกในภาษาไทยว่า เทคโนโลยีระบบการสอน เป็นชื่อสาขาวิชาทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยอินเดียน่า วิทยาเขตบลูมมิงตัน ที่มีอาจารย์ระดับปริญญาเอกที่มีชื่อในประเทศไทยหลายท่านจบจากที่นี่ การเรียนการสอนเน้นการออกแบบ วิจัยและพัฒนาระบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
     Instructional System Design : ISD เรียกตรงตัวได้ว่า การออกแบบระบบการเรียนสอน อันเป็นแกนหลักของสาขาเทคโนโลยีการศึกษา ผู้เรียนในสาขานี้ไม่ว่าจะเรียกชื่อแตกต่างกันไปอย่างไรก็ตามจะต้องเรียนรู้และศึกษาวิธีการในการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างกระบวนการคิดและการออกแบบพัฒนาการเรียนการสอนอย่างเป็นกระบวนการ เป็นระบบและมีขั้นตอน
     Instructional Design : ID เรียกตรงตัวได้เช่นเดียวกันว่า การออกแบบการสอน เป็นความหมายเดียวกันกับ ISD เป็นวิชาหลักหรือแกนหลักของสาขาเทคโนโลยีการศึกษาเช่นกัน
     Instructional Technology เทคโนโลยีการสอนเป็นชื่อที่เรียกขานสาขาและภาควิชาหลาย ๆ แห่ง เนื่องจากเทคโนโลยีการศึกษาถูกมองในลักษณะของการใช้นำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการเรียนการสอน จึงมีการใช้คำว่าเทคโนโลยีการสอนเพื่อเฉพาะเจาะจง และเป็นสาขาที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและเปิดสอนในมหาวิทยาลัยโดยทั่วไป
     Intelligence Computer-Assisted Instruction : ICAI คอมพิวเตอร์ช่วยสอนอัจฉริยะ เป็นแนวคิดสูงสุดของนักเทคโนโลยีการศึกษาที่เชื่อว่า เมื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปจนสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ฉลาดได้เหมือนกับคนและตอบสนองต่อการเรียนรู้ได้ดังใจปรารถนา เหมือนกับมีครูผู้เชี่ยวชาญมาสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบอัจฉริยะ ซึ่งก็ยังไปไม่ถึงในปัจจุบัน
IMCAI : Interactive Multimedia Computer-Assisted Instruction เป็นอีกแนวคิดหนึ่งของนักเทคโนโลยีการศึกษา ที่เมื่อมองเห็นว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอนยังไปไม่ถึงระดับอัจฉริยะก็มองว่า ความเป็นมัลติมีเดียของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ก็มีศักยภาพเพียงพอสำหรับช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ
      Information Technology แม้จะมองว่ากลายเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ถูกจัดกลุ่มใหม่และตั้งเป็นสาขาและศาสตร์ของตนเอง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศก็ยังต้องจัดเป็นสิ่งที่นักเทคโนโลยีการศึกษายอมรับและเข้ามาใช้อย่างเต็มที่ ถือเป็นหน่วยหนึ่งที่จะต้องเรียนรู้และประยุกต์เข้ามาใช้ทางการศึกษาและเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ยุคของไอ เริ่มลดบทบาทและความสำคัญลง จนถึงถูกมองว่าเทคโนโลยีการศึกษาเข้าสู่ยุคของอีในปัจจุบัน
      Internet การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งหนึ่งของเทคโนโลยีการศึกษา การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันทั้งโลก ข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลผ่านทางด่วนข้อมูล (Information Super Highway) การสื่อสารโดยตรงไม่ว่าจะเป็นด้วย IRC : Internet Relay Chat ,ICQ ทำให้เทคโนโลยีการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและการจัดการนวัตกรรมเพื่อให้ทันกับการเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า อีเลินนิ่ง การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-based Instruction) ที่นำเอาเว็บมาช่วยในการสอนกลายเป็นประเด็นใหม่ที่ต้องศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้าสู่ยุคอีในที่สุด

ยุคเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา
      แนวโน้มการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถทางสติปัญญาสูงขึ้นหรือเพิ่มไอคิว (IQ) มาเป็นการส่งเสริมผู้เรียนให้มีความฉลาดทางอารมย์ (EQ) เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข เทคโนโลยีที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของยุคอี อาทิ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต วีดิโอคอนเฟอเรนท์ มัลติมีเดีย ดาวเทียมเพื่อการศึกษา ฯลฯ ล้วนเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อระบบการศึกษา นำเข้ามาใช้ไม่เฉพาะการติดต่อสื่อสารแต่นำมาใช้เพื่อการเรียนรู้คือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า อี-เลินนิ่ง
       e-Learning อีเลินนิ่งหรือ Electronic Learning อาจจะดูเป็นแนวคิดทางการศึกษาแบบใหม่ ที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์ออนไลน์ ทำให้เกิดการเรียนการสอนระบบต่าง ๆ และมีชื่อเรียกขานแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-based Instruction),การเรียนการสอนออนไลน์ (On-line Learning), การเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet-based Instruction) หรือแม้แต่จะเรียกว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเว็บ (CAI on Web) แต่ละแบบจัดเป็นรูปแบบของการเรียนรู้ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น
     


ที่มา : http://home.dsd.go.th/techno/trainingsystem/index.phpoption=com_content&view=article&id=21&Itemid=26

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีการสื่อสารมวลชน


ทฤษฎีการสื่อสารมวลชน 

     สภาพของการสื่อสารมวลชนดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีวิวัฒนาการความเป็นมาอันยาวนาน มีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของการสื่อสารมวลชนมากมายที่นักสื่อสารมวลชนพยายามศึกษา และหาเหตุผลหรือแนวความคิด มาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ผู้ที่จะใช้ประโยชน์จากการสื่อสารมวลชนเพื่อการศึกษา จึงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี หรือแนวความคิด สมมุติฐาน ต่างๆ ทฤษฎีทางการสื่อสารมวลชนที่สำคัญ คือ ทฤษฎีเข็มฉีดยา ทฤษฎีการสื่อสาร 2 จังหวะ ทฤษฎีกำหนดระเบียบวาระ (ชวรัตน์ เชิดชัย 2527 : 37-41)

ทฤษฎีเข็มฉีดยา (Hypodermic needle Theory)
     บางครั้งเรียกว่า ทฤษฎีสื่อสารจังหวะเดียว (One step Flow Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า องค์กรหรือผู้ส่งข่าวสารเป็นผู้มีอำนาจและบทบาทสำคัญที่สุด กล่าวคือ สามารถกำหนดข่าวสาร และส่งข่าวสารไปยังผู้รับ โดยคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นได้ คล้ายกับหมอฉีดยาให้คนป่วย ข่าวสาร ที่ส่งไปก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้รับได้โดยตรง กว้างขวาง และทันที ส่วนฝ่ายผู้รับข่าวสารเป็นคนจำนวนมาก ที่ต่างคนต่างอยู่ เฉื่อยชา และมีปฏิกริยา หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามที่ผู้ส่งข่าว สารต้องการ ไม่มีบทบาทหรืออำนาจควบคุมผู้ส่งข่าวสารได้ ทฤษฎีนี้ถือว่า ผู้มีอำนาจ และเข้าใจสถานการณ์ สามารถใช้สื่อมวลชนทำให้เกิดผลตามที่ตนเองต้องการได้

ทฤษฎีการสื่อสาร 2 จังหวะ (Two step Flow Theory)

     ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่า ข่าวสารที่ถูกส่งจากองค์กรสื่อมวลชนหรือผู้ส่ง มิได้ไปถึงผู้รับโดยตรงเสมอไป จากการศึกษาพฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ของคนอเมริกัน โดย ลาซา สเฟลด์ และแคทซ์ (อ้างจาก Rogers and Shoemaker. 1971 : 203-204) พบว่า บางครั้งข่าวสารไปถึงผู้รับ ในลักษณะการส่งต่อกันสองทอด คือ ลำดับแรกข่าวสารจะไปถึงผู้นำความคิด(Opinion Leaders) บางคนในชุมชนก่อน จากนั้นจึงถูกถ่ายทอดต่อไปยังบุคคลอื่นในกลุ่ม
ผู้นำความคิด เป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มสังคมหรือชุมชน ซึ่งทฤษฎีนี้เชื่อว่า เป็นผู้มีความกระตือรือล้นในการแสวงหาข่าวสาร ส่วนคนอื่นซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ เป็นพวกเฉื่อยชา ผู้นำความคิด จะเป็นผู้นำข่าวสารที่ได้รับมาจากแหล่งต่างๆ ไปเล่าให้บุคคลอื่นฟัง โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงข่าวสารให้เป็นไปตามความคิดของตน และในขณะเดียวกันบุคคลที่ได้ฟัง ส่วนใหญ่มักจะเป็น บุคคลที่ถูกจูงใจได้ง่าย ดังนั้นข่าวสารจากสื่อมวลชนจึงไม่มีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้รับส่วนใหญ่ ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎี เข็มฉีดยา

สื่อมวลชนกับการพัฒนาสังคม

สื่อมวลชนกับการพัฒนาสังคม
     การพัฒนาเป็นการสร้างความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม ไปในทางที่ดีขึ้น จากสภาพที่ไม่น่าพอใจไปสู่สภาพที่น่าพอใจ เช่น มีการศึกษาที่ดี ดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล และสังคมให้เพียงพอทั้งด้านวัตถุ และจิตใจ การพัฒนาสังคมหรือประเทศเชื่อกันว่า จะต้องเริ่มต้นที่การพัฒนาการศึกษาก่อน เมื่อการศึกษาพัฒนาคน สังคมก็พัฒนาตาม และนำไปสู่การพัฒนาประเทศในที่สุด สื่อมวลชนมีบทบาทหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ข่าวสารไปสู่ประชาชน ดังนั้นสื่อมวลชนจึงมีบทบาทโดยตรงสำหรับการศึกษาและการพัฒนาสังคมหรือประเทศ (ระพี สาคริก 2529 : 40-43) และนอกจากนี้สื่อมวลชนยังทำให้บุคคลมีความทันสมัย ((Klapper. 1960 : 53-57)
     ศาสตราจารย์ วิลเบอร์ ชแรมม์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน ที่สามารถจะสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ไว้ในหนังสือ Mass Media and National Development สรุปบทบาทของสื่อมวลชนไว้ดังนี้ (Schramm. 1964 : 127-144)
1. เป็นผู้ตรวจสอบ (Watchman) ติดตาม และรายงานเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหว การดำเนินงานต่างๆ ให้ประชาชนได้ทราบเป็นระยะ
2. ทำให้มีวิสัยทัศน์กว้างขึ้น เป็นการสร้างประสบการณ์แก่ประชาชน ให้มีความคิดกว้างไกลยิ่งขึ้น
3. ทำให้เกิดความสนใจ ชี้ให้เห็นสิ่งที่น่าสนใจ หรือควรนำมาพิจารณา เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์สิ่งต่างๆ นำไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาต่อไป
4. สร้างความทะเยอทะยาน คือทำให้เกิดความต้องการที่จะมีสภาพที่ดีกว่าเดิม เช่น เกิดความอยากอยู่ดีกินดี
5. สร้างบรรยากาศของการพัฒนา กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน หรือพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น
6. ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติ ค่านิยม ที่เคยมีอยู่ไม่ถูกต้อง ให้เปลี่ยแปลงไปในทางที่ถูกต้องขึ้นโดยทางอ้อม
7. ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างบุคคล ทำให้ประชาชนที่ได้รับข่าวสารจากสื่อมวลชนเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ข่าวสารซึ่งกันและกัน
8. สร้างสถานภาพให้บุคคล ทำให้เกิดความสนใจในตัวบุคคล ยกย่องบุคคล หรือสร้างผู้นำในการพัฒนาได้
9. สร้างความเข้าใจในนโยบายของรัฐบาล ด้วยการทำให้เกิดความสนใจ วิพากษ์ วิจารณ์ แลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
10. ควบคุมให้ปฏิบัติตามกติกาของสังคม นำการกระทำที่ไม่ถูกต้อง มาตีแผ่ ให้ประชาชนทราบ เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และนำไปสู่การควบคุมให้ปฏิบัติตามบรรทัด ฐานที่วางเอาไว้
11. ช่วยให้มีรสนิยมที่ดี แสดงให้เห็นการกระทำที่ดี มีวัฒนธรรมตามสมัยนิยม ให้รู้จักเลือกปฏิบัติหรือแสดงออกในทางที่ถูกที่ควร
12. ทำให้เจตคติฝังแน่นขึ้น จากความเชื่อหรือเจตคติเดิมที่ดีอยู่แล้วแต่ไม่ฝังแน่น ให้เกิดความยึดมั่นแน่นแฟ้นขึ้น
13. ทำหน้าที่เป็นครู หมายถึง สื่อมวลชนมีบทบาทในการให้วิชาความรู้แก่ประชาชน ทั้งทางตรง และทางอ้อม อันจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป

ความเป็นมาของการสื่อสารมวลชน


ความเป็นมาของการสื่อสารมวลชน

     การสื่อสาร หรือการสื่อความหมายของมนุษย์ เชื่อกันว่า มีมาตั้งแต่สมัยโบราณพร้อมๆ กับการเกิดสังคมมนุษย์ และมีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ ดังได้กล่าวมาแล้ว ส่วนการสื่อสารในลักษณะที่เรียกว่าเป็นการสื่อสารมวลชนนั้น เชื่อว่าเกิดขึ้นในยุคที่มนุษย์มีที่อยู่อาศัยรวมกันเป็นหลักแหล่ง เกิดเป็นกลุ่มสังคมและชุมชนขึ้น มีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารจากผู้นำกลุ่มสังคม ไปยังคนในกลุ่มสังคมเดียวกัน อาจจะด้วยความจำเป็นในการดำรงชีวิต การปกครอง หรือความปลอดภัยของชุมชน รูปแบบ วิธีการ ของการสื่อสารมวลชนของมนุษย์ยุคแรกๆ นั้น เราไม่อาจค้นหาหลักฐานที่แสดงถึงการสื่อสารมวลชนได้อย่างชัดเจน เพียงอาศัยข้อสันนิษฐานจากวิธีการสื่อสารอย่างง่ายที่อาจเป็นไปได้ เช่น ใช้สัญญาณควันไฟ เสียงกลอง การขีดเขียนสัญลักษณ์ เป็นต้น ต่อมาเมื่อชุมชนขยายตัวขึ้น มีการติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างชุมชนมากขึ้น การสื่อสารมวลชนก็ขยายตัวพัฒนารูปแบบการสื่อสารไปตามพัฒนาการทางสังคมด้านอื่น
แหล่งชุมชนที่เชื่อว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ที่มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นแหล่งกำเนิด อารยธรรม การสื่อสารของโลก ได้แก่
1. บริเวณลุมแม่น้ำไนล์ ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ที่ตั้งของประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน
2. บริเวณลุ่มแม่น้ำเว้ ตอนเหนือของประเทศจีนในปัจจุบัน
3. บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ประเทศอินเดีย
    พัฒนาการของการสื่อสารมวลชน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการค้นพบ การประดิษฐ์วัสดุ อุปกรณ์เพื่อการบันทึก และเผยแพร่ข่าวสาร จึงอาจแบ่งยุคของการสื่อสารมวลชน ตามลำดับช่วงเวลาของการรู้จักประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ ดังนี้ คือ

1. ยุคก่อนการใช้ตัวอักษร

    สิ่งที่แสดงถึงการถ่ายทอดความรู้ข่าวสารในยุคนั้น ได้แก่ ภาพเขียนตามผนังถ้ำ ซึ่งมีหลักฐานปรากฎให้เห็นอยู่ในที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยก็มีอยู่หลายแห่ง ส่วนใหญ่เป็นภาพของสัตว์ป่าหลายชนิด บางชนิดได้สูญพันธุ์จากโลกไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีสื่อประเภทงานศิลป รูปปั้น การเขียนลวดลาย สัญลักษณ์ ตามแผ่นหิน เครื่องปั้นดินเผา ล้วนแสดงถึงการสื่อความหมายบางอย่าง แม้ว่าเราจะไม่ทราบแน่ชัดว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นต้องการสื่อความหมายในเรื่องใดบ้าง แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการสื่อความหมายสำหรับมวลชนในยุคนั้นอย่างแน่นอน

2. ยุคการใช้ตัวอักษร
    ความจำเป็นที่จะต้องถ่ายทอดข่าวสารให้ได้รายละเอียดชัดเจนมากขึ้น คนโบราณได้คิดเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ขึ้น แทนการเขียนภาพอย่างหยาบๆ ในอดีต ระยะแรก เป็นการใช้ สัญลักษณ์ อักษรภาพ ด้วยวิธีเขียน ปั้น หรือแกะสลัก โดยใช้ใบไม้ แผ่นหิน ดินเหนียว เป็นวัสดุ ที่สำคัญและมีหลักฐานเป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ปัจจุบัน แล้วถ่ายทอดไปยังดินแดนเมโสโปเตเมีย บริเวณประเทศอิรัคปัจจุบัน จากนั้นมีการถ่ายทอดต่อไปยังประเทศในแถบยุโรป ไปจนถึงประเทศอังกฤษ
การเขียนอักษรลงบนวัสดุที่เป็นแผ่น คนในประเทศอียิปต์โบราณได้ใช้ใบหญ้าชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ปาปิรัส (Paperus) ซึ่งเป็นใบไม้ขนาดใหญ่ นำมาเขียนให้เป็นรอยด้วยว้สดุที่แหลม คม แล้วจึงนำไปย้อมสี คล้ายกับการใช้ใบลานในประเทศไทย ต่อมาคำว่า Paperus ได้ถูกนำมาใช้เรียกกระดาษ ว่า Paper ในปัจจุบัน
การผลิตแผ่นกระดาษ และหมึกเขียน มีขึ้นในประเทศจีน ประมาณ พ.ศ. 105 จากนั้นกระดาษจึงเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ การใช้หมึกเขียนตัวอักษรลงกระดาษ คัดลอกข้อความให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ ช่วยให้สามารถเก็บบันทึก และเผยแพร่ความรู้ข่าวสารได้อย่างแพร่หลาย

การสื่อสารมวลชน

   
     การสื่อสารมวลชน เป็นกระบวนการส่งข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิด ไปยังคนจำนวนมาก ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Mass Communication
     Mass หมายถึง มวลชน หรือประชาชนผู้รับสารทั่วไป ซึ่งมีจำนวนมาก ส่วนคำว่า Communication หมายถึง การสื่อสารหรือการสื่อความหมาย ดังนั้นความหมายโดยทั่วไปของการสื่อสารมวลชน จึงหมายถึงการสื่อสารหรือการสื่อความหมายระหว่างกลุ่มบุคคล หรือองค์กรหนึ่ง กับ ประชาชนทั่วไป เป็นกระบวนการสื่อสารที่มีความซับซ้อน เนื่องจากมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง มีปริมาณของข่าวสารมาก จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ บุคลากร หรือสื่อ (Media) ที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอ ที่จะนำข่าวสารไปถึงผู้รับจำนวนมาก สื่อที่ใช้เป็นตัวกลางในการส่งข่าวสารของการสื่อสารมวลชน จึงเรียกว่า สื่อมวลชน (Mass Media)
     พจนานุกรมการสื่อสารมวลชน ให้ความหมายของการสื่อสารมวลชนไว้ โดยสรุปว่า การสื่อสารมวลชน เป็นแบบหนึ่งของการสื่อสาร สามารถกระจายเรื่องราวความรู้ เปิดเผยไปสู่คนส่วนใหญ่ ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไปถึงผู้รับพร้อมกัน มีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวโน้มทางวัฒนธรรมของมวลชน คำว่า " การสื่อสารมวลชน" และคำว่า " สื่อมวลชน" มีความหมายที่แตกต่างกัน คือ การสื่อสารมวลชน เป็นกระบวนการหรือวิธีของการสื่อสาร ที่รวมองค์ประกอบของการสื่อสารทั้งหมด ส่วนสื่อมวลชนนั้น หมายถึง สื่อหรือช่องทาง ที่ใช้ในการสื่อสารมวลชน อันได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ฯลฯ ซึ่งเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของการสื่อสาร (ปรมะ สตะเวทิน 2526 : 126 - 127 ) การใช้คำสองคำนี้บางครั้งคนทั่วไปใช้ในความหมายอย่างเดียวกัน โดยถือว่า สื่อสารมวลชน นั้น มิใช่เพียงสื่อหรือช่องทางในการสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงระบบของสื่อทั้งหมด เช่น บุคลากร อันได้แก่ นักจัดรายการ ผู้สื่อข่าว นักหนังสือพิมพ์ รวมไปถึง ช่องทางของการสื่อสาร ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ด้วย คณะกรรมการราชบัณฑิตยสถาน ได้อนุโลมให้ใช้คำสองคำนี้แทนกันได้ (อนันต์ธนา อังกินันทน์ และ เกื้อกูล คุปรัตน์ 2532 : 7)

ประเภทของสื่อมวลชน

     สื่อที่ใช้ในการสื่อสารมวลชน หรือที่เรียกว่า สื่อมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ต่างๆ ( ปรมะ สตะเวทิน 2526 : 127 )
     ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ จำแนกสื่อมวลชนไว้ครอบคลุมสื่อ 6 ประเภท คือ
( ชัยยงค์ พรหมวงศ์ 2525 : 270 )
1. สิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร หนังสือ และสิ่งตีพิมพ์ประเภทอื่นๆ
2. ภาพยนตร์ ทั้งภาพยนตร์เรื่อง ภาพยนตร์สารคดี และภาพยนตร์ทางการศึกษาบางประเภท
3. วิทยุกระจายเสียง ได้แก่วิทยุที่ส่งรายการออกอากาศ ทั้งระบบ AM และ FM รวมไปถึงระบบเสียงตามสาย
4. วิทยุโทรทัศน์ เป็นสื่อทางภาพและทางเสียงที่เผยแพร่ออกไป ทั้งประเภทออกอากาศและส่งตามสาย
5. สื่อสารโทรคมนาคม เป็นผลจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี มีการส่งข้อความ เสียง ภาพ ตัวพิมพ์ สัญลักษณ์ต่างๆ ได้หลากหลาย ครอบคลุมกิจการสื่อสารผ่านดาวเทียม โทรภาพ โทรพิมพ์
6. สื่อวัสดุบันทึก ได้แก่เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ แผ่นบันทึกเสียง แผ่นบันทึกภาพ ซึ่งกลายเป็นสื่อมวลชน เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้สามารถผลิตเผยแพร่ได้มากและรวดเร็ว
     ดร.สุรพงษ์ โสธนะเสถียร (2533 : 162 - 246 )จำแนกสื่อมวลชนเป็น 4 ประเภท คือ
1. สื่อทัศน์ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร หนังสือเล่ม
2. สื่อโสต ได้แก่ วิทยุกระจายเสียง แถบเสียง (เทปเสียง)
3. สื่อโสตทัศน์ ได้แก่ โทรทัศน์ วิดิทัศน์ ภาพยนตร์
4. สื่ออ้อม ได้แก่ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์
     จากการจัดประเภทสื่อมวลชนของบุคคลต่างๆ มีความแตกต่างกันในขอบข่ายของสื่อ ที่ใช้ในการสื่อสาร การที่จะกำหนดว่าสื่อมวลชนมีกี่ประเภท และสื่อต่างๆเหล่านั้นมีความเป็นสื่อมวลชนอย่างแท้จริงเพียงใด จะต้องพิจารณาองค์ประกอบด้านอื่นๆ ของการสื่อสารมวลชน ซึ่งจะกล่าวถึงในลำดับต่อไป

ลักษณะของการสื่อสารมวลชน
     ความเจริญก้าวหน้าของการสื่อสารในปัจจุบัน ส่งผลให้มีสื่อ และวิธีการส่งข่าวสารไปสู่ ประชาชน เพิ่มขึ้นหลายรูปแบบ เช่น การใช้วิทยุสื่อสาร โทรสาร วิดีทัศน์ คอมพิวเตอร์ การสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นต้น ทำให้เกิดความสับสนว่า การสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เหล่านั้น รูปแบบใดเป็นการสื่อสารมวลชน และรูปแบบใดไม่ใช่การสื่อสารมวลชน สื่อที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นสื่อมวลชน ในบางสถานการณ์ก็ไม่ถือว่าเป็นการสื่อสารมวลชน เช่น การฉายภาพยนตร์ตามโรงภาพยนตร์ทั่วไป เป็นการสื่อสารมวลชน แต่การฉายภาพยนตร์สำหรับการเรียนการสอนตามโรงเรียน ไม่ถือว่าเป็นการสื่อสารมวลชน
     การพิจารณาว่าการสื่อสารรูปแบบใด เป็นการสื่อสารมวลหรือไม่ สามารถพิจารณาตัดสินได้จากลักษณะของการสื่อสารมวลชนต่อไปนี้ คือ
1. เป็นการสื่อสารกับมวลชน
ผู้รับสารในการสื่อสารมวลชน หมายถึงประชาชนทั่วไป ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษาอาชีพ ซึ่งเป็นมวลผู้รับขนาดใหญ่ มีความแตกต่างกัน และไม่เป็นที่รู้จักกันระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ ครอบคลุมพื้นที่ไม่จำกัด ผู้รับข่าวสารไม่มีลักษณะที่กำหนดให้เฉพาะเจาะจงได้ว่า เป็นคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นักศึกษาที่นั่งฟังการบรรยายอยู่ในหอประชุม แม้ว่าจะมีจำนวนมากเท่าใดก็ไม่ถือว่าเป็นมวลชน เพราะมีลักษณะเฉพาะว่าเป็นกลุ่มนักศึกษา ผู้ชมการแสดงดนตรีจำนวนมาก อาจกำหนดได้ว่าเป็น กลุ่มวัยรุ่น หรือกลุ่มผู้สนใจ การสื่อสารกับคนจำนวนมากที่ไม่ทราบกลุ่ม ความสนใจ และจำนวนที่แน่ชัด จึงเป็นการยากที่จะคาดคะเนปฏิกิริยาซึ่งอาจเกิดขึ้นจากมวลชนได้
2. สื่อสารโดยผ่านทางสื่อ
ข่าวสารทุกอย่างจะถูกส่งไปยังผู้รับ โดยผ่านทางสื่อหรือเครื่องมือสื่อสารที่มีลักษณะเป็นสื่อสาธารณะ คือเป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นส่วนตัว และมีความรวดเร็ว เนื่องจากผู้รับสารในการสื่อสารมวลชน มีจำนวนมาก ปริมาณข่าวสารจึงมากตามไปด้วย จำเป็นต้องใช้เครื่องมือการผลิตที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพสูง กระบวนการผลิตจึงเป็นแบบ Mass Product และใช้สื่อตลอดจนวิธีการส่งข่าวสารที่สามารถส่งกระจายข่าวสารได้จำนวนมาก และรวดเร็วทันเวลา ซึ่งเรียกว่า Mass Media ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ จะใช้ระบบการพิมพ์ทันสมัย มีเครื่องจักร ที่สามารถผลิตหนังสือพิมพ์ได้เป็นจำนวนแสน ในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว วิทยุ โทรทัศน์ ใช้เครื่องมือผลิตรายการ และถ่ายทอดสัญญาณได้อย่างรวดเร็ว เผยแพร่ข่าวสารไปได้ทั่วโลก
3. ข่าวสารเนื้อหาหลากหลาย
เนื่องจากมวลชนผู้รับข่าวสารมีความหลากหลาย เนื้อหาสาระของข่าวสารจึงต้องจัดทำให้หลากหลาย ใช้ได้สำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษา และอาชีพ จะเห็นได้จากในหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ นำเสนอเรื่องราวหลายประเภท สำหรับคนทุกกลุ่ม วิทยุ โทรทัศน์ ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งได้จัดรายการต่างๆ โดยคำนึงถึงผู้ชมที่หลากหลาย ให้คนได้เลือกชมตามความสนใจ ลักษณะข่าวสารของสื่อมวลชนมีความไม่ยั่งยืน เหมือนสิ่งของที่ใช้หมดไป เพราะมีจุดประสงค์ที่จะให้รับข่าวสารทันที เมื่อเวลาผ่านไป ข่าวสารเก่าจะลดความสำคัญลงทันที และมีข่าวสารใหม่มาทดแทน
4. มีองค์กรหรือสถาบัน
งานของสื่อมวลชน เป็นงานที่มีความซับช้อน ใช้บุคลาการจำนวนมาก และเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกหลายฝ่าย จึงต้องมีองค์กรหรือหน่วยปฏิบัติงานที่เป็นระบบ การปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน เป็นสิ่งที่ต้องส่งผลกระทบต่อบุคคล และสังคมโดยส่วนรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดำเนินกิจการสื่อสารมวลชน จึงเป็นเรื่องขององค์กร หรือสถาบันที่มีการควบคุม และรับผิดชอบผล ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งบุคคลคนใดบุคคลหนึ่งไม่สามารถรับผิดชอบได้ เช่น หนังสือพิมพ์ มีบริษัทที่เป็นเจ้าของเป็นผู้ควบคุม ภายใต้กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์โดยการควลคุมดูแลของทางราชการ และยังมีกลุ่มสังคม สมาคม ควบคุมดูแลเกี่ยวกับ สิทธิ เสรีภาพ จริยธรรมหรือจรรยาบรรณของสื่อมวลชน
จากการจัดประเภทสื่อมวลชน และลักษณะต่างๆ ของการสื่อสารมวลชนดังกล่าวข้างต้น จึงอาจสรุปได้ว่า การสื่อสารมวลชน เป็นการส่งข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิดที่หลากหลาย จากองค์กรหรือสถาบันสื่อมวลชน ไปยังประชาชน โดยอาศัยเครื่องมือสื่อสารมวลชน สื่อที่ถือได้ว่า เป็นสื่อมวลชนที่สำคัญในปัจจุบัน ได้แก่ วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ หนังสือ ภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร

ที่มา :
http://www.udru.ac.th/~boonpan/1031204/Mass02.html

จูมล่า (Joomla)



ประวัติของจุมลา

     Joomla!  กำเนิดขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคม 2005 ด้วยการแยกตัวของกลุ่มนักพัฒนาหลักในโปรเจ็กต์แมมโบ้ ( Mambo ) ซึ่งเป็น CMS ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสมัยนั้น ออกมาสู่โปรเจ็กต์ใหม่ที่ชื่อ Joomla! แมมโบ้เป็นเครื่องหมายทางการค้าของบริษัท Miro International Pty Ltd. ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรพัฒนาโปรเจ็กต์ CMS ที่ไม่หวังผลกำไรที่ชื่อว่า Mambo ขึ้นมา สาเหตุที่ทำให้กลุ่มนักพัฒนาหลักของโปรเจ็กต์แมมโบ้แยกตัวกันออกมาก็คือ ความไม่ชัดเจนของวิสัยทัศน์เรื่องลิขสิทธิ์ทางเครื่องหมายการค้าจากทาง Miro ซึ่งหวั่นเกรงกันว่าจะกระทบถึงแนวคิดในการพัฒนาแบบ Open Source ได้ ทีมนักพัฒนาโปรแกรมที่แยกตัวออกมา เริ่มต้นด้วยการสร้างเว็บไซด์ที่ชื่อว่า OpenSourceMatter.org ขึ้นมา เพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารออกไปสู่กลุ่มผู้ใช้งาน นักพัฒนาโปรแกรม นักออกแบบเว็บไซด์ และสังคมออนไลน์ต่างๆ นำทีมโดย Andrew Addie หรือที่ใช้ชื่อออนไลน์ว่า " MasterChief " ซึ่งได้เขียนจดหมายขึ้นมาและส่งเข้าไปยังเว็บกลุ่มสังคมออนไลน์เดิมของ Mambo คือที่ Mambo Server.com หลังจากนั้นผู้คนหลายพันคนก็แห่กันเข้ามาสมัคร เข้าสู่ฟอรั่มของ OpenSourceMatter.org ภายในวันเดียว พร้อมกับเขียนข้อความให้กำลังใจกับทีมงานพัฒนากลุ่มนี้ และจะสนับสนุนการทำงานของทีมพัฒนากลุ่มนี้ต่อไปอีกด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ในวงการอินเทอร์เน็ตข่าวหนึ่งเลยทีเดียว สำนักข่าวไอทีออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น newsforge.com, eweek.com, และ ZDNet.com เป็นต้น ต่างก็นำเสนอข่าวนี้ จนกระทั่งผู้จัดการใหญ่ของบริษัท Miro ต้องออกมาตอบคำถามต่อสาธารณชนด้วยบทความที่มีชื่อว่า " The Mambo Open Source Controversy-20 Questions With Miro " อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ข้างต้นนี้ก็ได้ปลุกเร้าให้สังคม Open Source ทั่วโลกได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปกป้องสิทธิ์แห่งความเป็น " Open Source " ที่แท้จริงเอาไว้ ในวันที่ 1 กันยายน 2005 ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์แยกตัวของทีมพัฒนาโปรแกรมหลัก Eddie ก็ได้ประกาศการร่วมสร้างองค์กรและสังคมออไลน์กันใหม่ เพื่อสร้างสรรค์ไปสู่ความก้าวหน้าของ CMS แบบ Open Source ที่แท้จริงโดยได้ใช้ชื่อโปรเจ็กต์ใหม่ว่า " Joomla! " ซึ่งออกเสียงภาษาอังกฤษว่า " Jumla         " ( จุมลา ) มาจากภาษาสวาฮิติ ( Swahiti ) ที่มีความหมายว่า " ด้วยกันทั้งหมด " หรือ " ร่วมกันทั้งหมด " และในการประกาศโปรเจ็กต์ใหม่นี้ก็มีนักพัฒนาโปรแกรมกว่า 3,000 คน ประกาศเข้าร่วมมือกันทันที Joomla! เปิดตัวเวอร์ชันแรก ( Joomla 1.0.0 ) ในวันที่ 16 กันยายน 2005 ซึ่งเป็นการนำซอร์สโค้ดของแมมโบ้เวอร์ชัน 4.5.2.3 มาใส่ชื่อ Joomla!ลงไป พร้อมทั้งแก้ไข bug และเพิ่มเติมคุณสมบัติทางด้านการรักษาความปลอดภัยบางอย่างเข้าไป นับจากวันนั้น Joomla! ก็ได้อัปเดตตัวเองสู่เวอร์ชันใหม่เรื่อยมา ส่วนเวอร์ชันที่พัฒนาขึ้นใหม่เพื่อก้าวไปสู่ความเป็น Joomla! เองโดยไม่อิงอยู่กับรูปแบบจาก Mambo อีกต่อไปก็เริ่มต้นขึ้นที่เวอร์ชัน 1.5 ซึ่งเปิดตัวขึ้นในวันที่ 22 มกราคม 2551 และพัฒนาแก้ไขในส่วนต่างๆ เรื่อยมา จนมาถึง เวอร์ชันล่าสุดคือ เวอร์ชัน 1.6 ซึ่งเปิดตัวขึ้นในไตรมาสแรกของพ.ศ. 2554

เวอร์ชันของจูมล่า
    จูมล่าถูกแบ่งออกเป็น 3 เวอร์ชันคือ เวอร์ชัน 1.0 ซึ่ง เวอร์ชัน 1.0 คือ การพัฒนามาจาก mambo เวอร์ชัน 1.5 ที่พัฒนาใหม่หมดและ เวอร์ชัน 1.6 ได้ทำการพัฒนาแล้วเสร็จเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2554
เวอร์ชัน 1.0 ออกเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2005 รุ่นล่าสุดคือ 1.0.15 (ณ วันที่ 1 มกราคม 2552)
เวอร์ชัน 1.5 ออกวันที่ 22 มกราคม 2551 รุ่นล่าสุดคือ 1.5.26 ออกเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554
เวอร์ชัน 1.6 ออกเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2554 รุ่นล่าสุดคือ 1.6.6 released ออกเมื่อ 27 กรกฎาคม 2554
เวอร์ชัน 1.7 ออกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 รุ่นล่าสุดคือ 1.7.0 ออกเมื่อ 20 กรกฎาคม 2554
เวอร์ชัน 2.5 รุ่นล่าสุดคือ 2.5.4 ออกเมื่อ 2 เมษายน 2555



Joomla คืออะไร ?

    joomla คือ CMS ตัวหนึ่งจากหลาย ๆ ตัวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน สำหรับคุณที่ยังไม่รู้จักว่า CMS คืออะไร ขออธิบายสั้น ๆ เพิ่มเติมดังนี้ครับ CMS นั้นเป็นอักษรย่อของ คำว่า "Content Management System" ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทย หมายถึง ระบบบริหารจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์  นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราจะต้องดูแลก็คือเนื้อหาของเว็บไซต์ เช่น การเพิ่มบทความ การเพิ่มรูปภาพ หรือการปรับแต่งโยกย้ายโมดูลต่าง ๆ  ไม่จำเป็นจะต้องมานั่งเขียน Code ด้วยภาษา HTML, PHP, SQL เพียงแต่เรียนรู้วิธีการติดตั้ง การปรับแต่ง การใช้งาน CMS เท่านั้น  สำหรับ Code ต่าง ๆ ที่นำมาสร้าง และ ออกแบบเว็บไซต์ จะทำโดยทีมงานของผู้พัฒนา CMS ของแต่ละทีม ซึ่งทำให้ประหยัดเวลาในการสร้าง  และออกแบบเว็บไซต์ ได้อย่างมาก
     joomla เป็น CMS ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ  เพราะมีระบบการจัดการเนื้อหาที่มีรูปแบบสากล การปรับแต่งหน้าตาของเว็บไซต์ทำได้ง่าย เพราะถูกออกแบบมาให้รองรับกับเทคโนโลยีการ ออกแบบเว็บไซต์ สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ Flash หรือ GIF Animation นอกจากนี้คุณยังสามารถ Download Template ได้อย่างมากมายมีทั้งแบบที่สามารถนำมาใช้งานได้ฟรี (โดยให้เครดิตผู้สร้างนิดหน่อย เช่น ไม่ลบชื่อทีมพัฒนา Template นั้นออกจาก Template เป็นต้น) หรือหากต้องการ Template ที่มีประสิทธิภาพ และมีความสวยงาม ก็สามารถหาซื้อมาใช้ได้ เพราะมีเว็บไซต์ที่ให้บริการจัดทำ Template ของอยู่มากมาย จุดเด่นอีกจุดหนึ่งก็คือมี Extension จำนวนมากให้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งาน เช่น Component, Module, Plugin มีทั้งแบบฟรี และแบบต้องชำระเงิน สำหรับเว็บไซต์อย่างเป็นทางการคือ http://www.joomla.org   เป็นศูนย์รวมข่าวสารการ Update joomla และคุณสามารถ download extension ต่าง ๆ ได้จากที่นี่
     joomla มีการ Update อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เรามั่นใจได้ว่าการ ออกแบบเว็บไซต์ ด้วย CMS joomla จะมีความปลอดภัย ซึ่งปัจจุบัน (ตุลาคม 2553) เป็นรุ่น 1.5.21 และที่สำคัญที่สุดคือ รองรับภาษาไทย 100% เพราะมีทีมงานที่คอยดูแลเรื่องภาษา ทำให้เราไม่ต้องมากังวลกับการใช้งานภาษาไทยว่าจะผิดเพี้ยนในส่วนใดหรือไม่ และในขณะนี้ Team ผู้พัฒนากำลังร่วมกันพัฒนารุ่นใหม่ คือ joomla1.6 ซึ่งในขณะนี้ก็ใกล้จะได้ใช้งานกันในเวลาอันใกล้นี้คือ Joomla 1.6.4 Released สำหรับในเวอร์ชั่น 1.5 ก็ยังคงพัฒนาเพิ่มเติมมาจนถึง 1.5.23 หากท่านใดใช้เวอร์ชั่นเก่าอยู่ก็แนะนำให้ upgrade ให้ทันสมัยอยู่เสมอนะครับ ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของเว็บไซต์ของท่านเอง


ลักษณะเด่น
     ไม่ต้องเสียเวลากับการออกแบบเว็บไซต์ เพียงแค่พิมพ์ข้อมูลก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วด้วย templates ต่าง ๆ ไม่ต้อง Upload Files ไปยัง server เพียงแค่เลือกคำสั่ง Save ข้อมูลจะถูกบันทึกทันที สามารถใช้งานและ Update ข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการผ่าน Internet Explorer หรือ Web Browser อื่น ๆ มีส่วนเพิ่มเติมประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์มากมาย เช่น Poll, Forums ช่วยให้บริหารจัดการข้อมูลได้เป็นอย่างดี เช่น ข้อมูลจะถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบทำให้ง่ายต่อการค้นหาและแก้ไข, สามารถซ่อนข้อมูลหรือ เนื้อหาได้ สามารถกำหนด User เพิ่ม เพื่อเข้ามาช่วยในการพัฒนาเว็บไซต์ โดยสามารถกำหนดสิทธิ์ให้กับ User ตามความเหมาะสม หรือเพื่อให้เนื้อหา บางส่วนของเว็บไซต์สามารถเปิดดูได้เฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิกเท่านั้น

โปรแกรมเสริม

     จุมลามีโปรแกรมเสริม (Extension) ให้เลือกใช้หลายประเภท ตั้งแต่ระดับ Component, โมดูล (Module), Plug-ins และภาษา (Language) โดยโปรแกรมเสริมที่โดดเด่นได้แก่
     Dublin Core Extended โปรแกรมเสริมนี้เป็น Plug-ins ที่ช่วยให้ข้อมูลบรรณานุกรมของบทความกับซอฟต์แวร์และหรือระบบต่างๆ แบบอัตโนมัติ เช่น การให้ข้อมูลบรรณานุกรมกับซอฟต์แวร์จัดการการอ้างอิง Zotero
     Book Library Basic โปรแกรมเสริมที่ช่วยในการพัฒนาระบบจัดการระบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห้องสมุดดิจิทัล สามารถจัดหมวดหมู่หนังสือ ลงรายการทางบรรณานุกรม รวมถึงการแนบไฟล์ดิจิทัลไปกับรายการ




ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2
http://www.ninetechno.com

มูเดิ้ล (Moodle)


มูเดิ้ล (Moodle) คืออะไร 

     โปรแกรมมูดเดิ้ล (Moodle = Modular Object-Oriented Dynamic Learning Environment) คือ โปรแกรมฝั่งเครื่องบริการ (Server-Side Script) ทำหน้าที่ให้บริการระบบอีเลินนิ่ง ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดบริการแก่อาจารย์ และนักเรียน ในการมีกิจกรรมด้านการเรียนการสอน 2 ระบบ ได้แก่ ระบบซีเอ็มเอส หรือระบบจัดการเนื้อหา (CMS = Course Management System) คือ ระบบบริการให้ผู้สอนสามารถจัดการเนื้อหา เตรียมเอกสารหรือสื่อมัลติมีเดีย จัดทำแบบฝึกหัดตามแผนการจัดการเรียนรู้ได้ ส่วนระบบแอลเอ็มเอส หรือระบบจัดการเรียนรู้ (LMS = Learning Management System) คือ ระบบบริการให้นักเรียนเข้าเรียนรู้ตามลำดับ ตามช่วงเวลา ตามเงื่อนไขที่ผู้สอนได้จัดเตรียมอย่างเป็นระเบียบ หรือวัดผลการเรียนได้อัตโนมัติ ปัจจุบันมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นเพียงระบบซีเอมเอส(ไม่มีระบบแอลเอ็มเอสใน ตัว) สามารถสร้างวัตถุเรียนรู้จากภายนอกแล้วนำเข้าไปใช้งานในระบบซีเอ็มเอสตัว อื่น เช่น สกอร์ม (SCORM = Sharable Content Object Reference Model) ที่สามารถนำไปติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมมูเดิ้ล หรือโปรแกรมเลินสแควร์ (Learnsquare) ได้
     ผู้พัฒนาโปรแกรมคือ Martin Dougiamas โปรแกรมมีลักษณะเป็นโอเพนท์ซอร์ท (Open Source) ภายใต้ข้อตกลงของจีพีแอล (General Public License) สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรีจาก moodle.org โดยผู้ดูแลระบบ (Admin) นำไปติดตั้งในเครื่องบริการ (Server) ที่บริการเว็บเซอร์ฟเวอร์ (Web Server) ภาษาพีเอชพี (PHP Language) และมายเอสคิวแอล(MySQL)

ความสามารถของ moodle โดยสรุป
1. เป็น Open Source ที่ได้รับการยอมรับ (13544 sites from 158 countries 2549-07-19) ตัวนี้ฟรี : สถาบันส่วนใหญ่ตัวใครตัวมัน ซื้อบ้าง พัฒนาเองบ้าง ไม่อยู่ในวิสัยทัศน์ก็มี ในอนาคตอาจหันมาใช้ตัวนี้กันหมดก็ได้
2. สามารถเป็นได้ทั้ง CMS(Course Management System) และ LMS(Learning Management System) ช่วยรวบรวมวิชาเป็นหมวดหมู่ เผยแพร่เนื้อหาของผู้สอน พร้อมบริการให้นักเรียนเข้ามาศึกษา และบันทึกกิจกรรมของนักเรียน
3. สามารถ สร้างแหล่งข้อมูลใหม่ หรือเผยแพร่เอกสารที่ทำไว้ เช่น Microsoft Office, Web Page, PDF หรือ Image เป็นต้น ใจกว้าง ไม่หวงวิชา มีเอกสารที่เคยรวบรวมไว้ ก็ส่งเข้าไปเผยแพร่ได้โดยง่าย
4. มี ระบบติดต่อสื่อสารระหว่างนักเรียน เพื่อนร่วมชั้น และผู้สอน เช่น chat หรือ webboard เป็นต้น นักเรียนฝากคำถาม ครูทิ้งคำถามไว้ ครูนัดสนทนาแบบออนไลน์ ครูนัดสอนเสริม หรือแจกเอกสารให้อ่านก่อนเข้าเรียน ก็ได้
5. มี ระบบแบบทดสอบ รับการบ้าน และกิจกรรม ที่รองรับระบบให้คะแนนที่หลากหลาย
ให้ส่งงาน ให้ทำแบบฝึกหัด ตรวจให้คะแนนแล้ว export ไป excel
6. สำรองข้อมูลเป็น .zip แฟ้มเดียว ในอนาคตสามารถนำไปกู้คืนลงไปในเครื่องใดก็ได้
อย่างของผมทำวิชาระบบปฏิบัติการ แล้วเก็บเป็น .zip เปิดให้ Download ใครจะนำไปทดสอบกู้คืนในเครื่องตนเองก็ได้
7.ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ และใจกว้าง ส่งเสริมเรื่องนี้เพราะ อาจารย์ได้ทำหน้าที่ นักศึกษาได้เรียนรู้ และสถาบันได้ชื่อเสียง อาจารย์เตรียมสอนเพียงครั้งเดียว แต่นักเรียนเข้ามาเรียนกี่รอบก็ได้ จบไปเข้าแล้วกลับมาอ่านทบทวนก็ได้


การใช้นวัตกรรมการศึกษาในประเทศไทย

ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา
    พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราที่สำคัญ คือ มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทยและในมาตรา 22 "การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ" การดำเนินการปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จได้ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังกล่าว จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาทางการศึกษาทั้งในรูปแบบของการศึกษาวิจัย การทดลองและการประเมินผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่นำมาใช้ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด นวัตกรรมที่นำมาใช้ทั้งที่ผ่านมาแล้วและที่จะมีในอนาคตมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในด้านต่างๆ ในที่นี้จะขอกล่าวคือ นวัตกรรม 5 ประเภท คือ
1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร
2. นวัตกรรมการเรียนการสอน
3. นวัตกรรมสื่อการสอน
4. นวัตกรรมการประเมินผล
5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ

นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร
     นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและของโลก นอกจากนี้การพัฒนาหลักสูตรยังมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่บนฐานของแนวคิดทฤษฎีและปรัชญาทางการจัดการสัมมนาอีกด้วย การพัฒนาหลักสูตรตามหลักการและวิธีการดังกล่าวต้องอาศัยแนวคิดและวิธีการใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรในประเทศไทย ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรดังต่อไปนี้
1.หลักสูตรบูรณาการ เป็นการบูรณาการส่วนประกอบของหลักสูตรเข้าด้วยกันทางด้านวิทยาการในสาขาต่างๆ การศึกษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นคนดีสามารถใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ในสาขาต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมอย่างมีจริยธรรม
2.หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตามอัตภาพ เพื่อตอบสนองแนวความคิดในการจัดการศึกษารายบุคคล ซึ่งจะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านต่างๆ
3.หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้น กระบวนการในการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ เช่น กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในบทเรียน ประสบการณ์การเรียนรู้จากการสืบค้นด้วยตนเอง เป็นต้น
4.หลักสูตรท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับศิลปวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น แทนที่หลักสูตรในแบบเดิมที่ใช้วิธีการรวมศูนย์การพัฒนาอยู่ในส่วนกลาง



สังคมแห่งการเรียนรู้เทคโนโลยี เครือข่ายอินเตอร์เน็ต

ระบบเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต
    อินเทอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เป็นเครือข่ายใหญ่ และเครือข่ายย่อย จำนวนมากเชื่อมต่อกัน เป็นจำนวนหลายร้อยล้านเครื่อง ซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลที่เป็นรูปภาพ ข้อความ และเสียง โดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีผู้ใช้งานกระจายอยู่ทั่วโลก    อินเทอร์เน็ต มีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุผลทางการทหาร เนื่องจากในยุคสงครามเย็น เมื่อประมาณ  พ.ศ.2510 ระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ และฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา โดยต่างฝ่าย ต่างก็กลัวขีปนาวุธ ของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยผู้นำสหรัฐอเมริกา วิตกว่า ถ้าหากทางฝ่ายรัฐเซีย ยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์เข้ามา ถล่มจุดยุทธศาสตร์บางจุดของตนเองขึ้นมา อาจจะทำให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อกันเสียหายได้ จึงได้สั่งให้มีการวิจัย เพื่อสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ชนิดใหม่ขึ้นมา เพื่อป้องกันความเสียหาย โดยมีจุประสงค์ว่า ถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง ถูกทำลาย แต่เครื่องอื่นก็จะต้องใช้งานต่อไปได้ หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลระบบเครือข่าย ในขณะนั้นมีชื่อว่า ARPA (Advanced Research Projects Agency) ดังนั้นชื่อเครือข่ายในขณะนั้น จึงถูกเรียกว่า ARPANET ต่อมาในปี พ.ศ. 2547 เครือข่ายขยายใหญ่โต เพิ่มมากขึ้น จากการระดม นักวิจัยเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมา เพื่อความเหมาะสม จึงได้มาตรฐาน TCP/IP และนอกจากประโยชน์ด้านงานวิจัย และทางทหารแล้ว ยังได้นำมาใช้ประโยชน์ทางด้านธุรกิจ และการพาณิชย์อีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และนำมาใช้ประโยชน์ ในการติดต่อข้อมูลข่าวสารมากมาย สำหรับในประเทศไทยได้มีการเริ่มต้นติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ต เป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อใช้ในการศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยติดต่อกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย โดยเชื่อมต่อเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ เพื่อรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ กับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ในปี พ.ศ. 2530 ต่อมากระทวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและพลังงาน ได้มอบหมายให้ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ให้ทุนสนับสนุน แก่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อศึกษา ถึงการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์ 12 แห่งเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกันเมื่อ พ.ศ. 2531 หลังจากนั้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เป็นเกตเวย์อินเทอร์เน็ต ในประเทศไทยและเริ่มให้บริการทางอินเทอร์เน็ต เต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2535 และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2537 การสื่อสารแห่งประเทศไทย ร่วมลงทุนกับหน่วยงานของรัฐ และเอกชน เปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ 2 รายคือบริษัทอินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด และบริษัท อินเทอร์เน็ต คอมเมอร์เชียล แอนด์โนว์เลจเซอร์วิส จำกัด ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น KSC คอมเมอร์เชียลอินเทอร์เน็ต จำกัด





มาตรฐานการสื่อสารด้านอินเทอร์เน็ต
โปรโตคอล (Protocol) คือตัวกลาง หรือภาษากลาง ที่ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการสื่อสาร ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารเชื่อมโยงกัน ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ นับร้อยล้านเครื่องซึ่งแต่ละเครื่องมีความแตกต่างกัน ทั้งรุ่นและขนาดของคอมพิวเตอร์ ถ้าขาดโปรโตคอลก็จะไม่สามารถที่จะติดต่อสื่อสาร ให้เข้าใจกันได้ เพราะฉะนั้นโปรโตคอล ก็เปรียบเหมือนเป็นล่ามที่ใช้แปลภาษา ของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาตรฐานนี้เรียกว่า TCP/IP การทำงานของ TCP/IP จะแบ่งข้อมูลที่จะส่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ เรียกว่า แพ็คเก็ต (Packet) แล้วส่งไปตามเส้นทางต่าง ๆ ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยจะกระจายแพ็คเก็ตออกไปหลายเส้นทาง แพ็คเก็ตเหล่านี้ จะไปรวมกันที่ปลายทาง และถูกนำมาประกอบรวมกัน เป็นข้อมูลที่สมบูรณ์อีกครั้ง
ระบบไอพีแอดเดรส (IP Address) เมื่อเราต้องการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น เราจะต้องทราบที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น คอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรโตคอล TCP/IP จะมีหมายเลขประจำเครื่องที่ไม่ซ้ำกับเครื่องอื่นในโลก มีชื่อเรียกว่า ไอพีแอดเดรส ไอพีแอดเดรสจะมีลักษณะเป็นตัวเลข 4 ชุดที่มีจุด ( . ) คั่น เช่น 193.167.15.1 เป็นต้น ตัวเลขแต่ละชุด จะมีค่าได้ตั้งแต่ 0-255 คอมพิวเตอร์ ที่มีไอพีแอดเดรสเป็นของ ตัวเองและใช้เป็นที่เก็บเว็บเพจ เราเรียกว่าเซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือโฮสต์ (Host) ส่วนองค์กรหรือผู้ควบคุมดูแลและจัดสรรหมายเลขไอพีแอดเดรส เราเรียกว่า อินเทอร์นิก (InterNIC)

โดเมนเนม (Domain Name) 
โดเมนเนม (Domain Name) เป็นระบบที่นำตัวอักษร ที่จำได้ง่ายเข้ามาแทนไอพีแอดเดรส ที่เป็นตัวเลข แต่ละโดเมนจะมีชื่อไม่ซ้ำกัน และมักจะถูกตั้งให้คล้ายกับชื่อของบริษัทหน่วยงาน หรือองค์กรของผู้เป็นเจ้าของ เพื่อความสะดวกในการจดจำชื่อ

ความหมายโดเมนเนม
โดเมนเนม
ความหมาย
Com
กลุ่มองค์การค้า (Commercial)
Edu
กลุ่มการศึกษา (Education)
Gov
กลุ่มองค์กรรัฐบาล (Governmental)
Mil
กลุ่มองค์กรทหาร (Military)
Net
กลุ่มองค์การบริหาร (Network Service)
Org
กลุ่มองค์กรอื่น ๆ (Organizations)

ความหมายโดเมนที่เป็นชื่อย่อของประเทศ
โดเมนที่เป็นชื่อย่อของประเทศ
ความหมาย
au
ออสเตรเลีย (Australia)
fr
ฝรั่งเศส (France)
th
ไทย (Thailand)
jp
ญี่ปุ่น (Japan)
uk
อังกฤษ (United Kingdom)

โดเมนเนมเซิร์ฟเวอร์ 
โดเมนเนมเซิร์ฟเวอร์ (Domain Name Server) ถึงแม้ระบบโดเมนเนม จะทำให้จดจำชื่อได้ง่าย แต่การทำงานจริง ของอินเทอร์เน็ต ก็จำเป็นต้องใช้ไอพีแอดเดรส อย่างเดิม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีระบบ ที่จะทำการแปลงโดเมนเนม ไปเป็นไอพีแอดเดรส โดยจะต้องจัดการให้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ทำหน้าที่ในการแปลงโดเมนเนม ไปเป็นไอพีแอดเดรส เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่นี้ จะถูกเรียกว่าโดเมนเนมเซิร์ฟเวอร์ (Domain Name Server) หรือ ดีเอ็นเซิร์ฟเวอร์ (DNS Server)ตำแหน่งอ้างอิงเว็บเพจ เป็นตำแหน่งที่ใช้อ้างอิงเว็บเพจต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตโดยพิมพ์ URL เข้าไปในช่อง Address ของเว็บเบราเซอร์โดย URL ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้คือ

www.hotmail.com/data.html
www คือ การแสดงว่าขณะนี้กำลังใช้บริการ www
hotmail คือ โดเมนเนมของเว็บไซต์ที่กำลังใช้งานอยู่
data.html คือ ตำแหน่งของไฟล์ที่เก็บเว็บเพจหน้านั้นอยู่


การเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต
          การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่อินเทอร์เน็ตผู้ใช้จะต้องสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายจะต้องมีบีประจำเครื่อง (Account Number) ที่ศูนย์บริการ แล้วเชื่อโยงคอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่องที่ศูนย์บริการ โดยใช้สายโทรศัพท์ผ่านทางโมเด็ม (Modem) และจะมีซอฟต์แวร์ทำหน้าที่แปลงคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เป็นเทอร์มินัลของคอมพิวเตอร์ที่ศูนย์บริการเมื่อสมัครเป็นสมาชิกแล้ว ผู้ใช้จะมี User ID หรือ User name หรือ Login name  และ Password ผู้ใช้จะต้องจัดเตรียมและเชื่อมต่ออุปกรณ์ดังนี้
1.เครื่องคอมพิวเตอร์  ไม่จำกัดชนิดและยี่ห้อ ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้จะใช้เครื่อง PC 
2.โมเด็ม ทำหน้าที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ได้ ความเร็วของโมเด็มเป็นความเร็วในการส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ โมเด็มมีขนาดความเร็วต่าง ๆ กัน   โมเด็มมีขนาดความเร็วสูงตั้งแต่ 14.4 Kbps ขึ้นไป  ส่วนใหญ่แล้วจะมีความสามารถรับส่ง Fax ได้ด้วย เรียกกว่า Fax Modem โมเด็มที่มีความเร็วสูงจะมีราคาแพงกว่า ความเร็วของโมเด็มวัดเป็นบิดต่อวินาที (bps)
      โมเด็มแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 
        1.โมเด็มภายใน (internal modem) เป็นการ์ดที่เสียบลงบนสล็อต (slot) ของเมนบอร์ด
        2.โมเด็มภายนอก (External nodem) เป็นกล่องขนาดเล็ก มีพอร์ต (port)  เพื่อเสียบสัญาณจากคอมพิวเตอร์เข้าโมเด็ม มีช่องสำหรับเสียบสายโทรศัพท์ และมีสายไฟจากโมเด็มเพื่อต่อเข้ากับไฟบ้าน
3. โทรศัพท์  เพื่อเชื่อมต่อสายโทรศัพท์เข้ากับโมเด็ม  เพื่อให้สัญญาณข้อมูลส่งผ่านสายโทรศัพท์  ดังนั้นผู้ต้องการใช้บริการอินเทอร์เน็ต  จะต้องมีโทรศัพท์หนึ่งเลขหมายในการต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต 
4.ซอฟต์แวร์  ในการใช้อินเทอร์เน็ตจะมีโปรแกรมที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 ประเภทคือ         1.โปรแกรมที่ใช้ในการติดต่อเพื่อจัดการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ต  ถ้าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Window 95 จะมีโปรแกรม dial-Up Networking ที่ใช้ในการสื่อสารอยู่แล้ว
       2. โปรแกรมที่ใช้รับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เช่น Eudora
       3. โปรแกรมที่ใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เรียกกว่า บราวเซอร์ (Browser) เช่น Netscape Navigator, Internet Exploer
5.ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP : Internet Service Provider) 
ผู้ใช้จะต้องสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต  ซึ่งเป็นศูนย์บริการให้กับสมาชิก ซึ่งมีทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งผู้ให้บริการเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยศูนย์บริการเหล่านี้จะต้องเสียเงินค่าเช่าสายสัญญาณไปต่างประเทศให้กับรัฐ

ข้อมูลข่าวสารบนเว็บไซต์
1. เว็บเพจ(Web Page) คือ ข้อมูลที่แสดงบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นเอกสารที่สามารถเชื่อมโยงไปยังหน้า อื่น ๆ ได้ 
2. เว็บไซต์ (Web Site) คือ เว็บเพจทั้งหลายที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต และบรรจะไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่ง ๆ เช่น เว็บไซต์ www.google.com
3. โฮมเพจ (Home Page) คือ เว็บเพจหลักของเว็บไซต์ ภายในโฮมเพจจะมีจะเชื่อมต่อเปิดเข้าไปชม เว็บเพจอื่น ๆ ที่อยู่ภายในเว็บไซต์นี้ได้ 
4. โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ (Web Browser) เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ ในการเปิดเว็บเพจ และสามารถรับส่ง ไฟล์ทางอินเทอร์เน็ต โดยการแปลงภาษา HTML แล้วแสดงผลคำสั่งให้ออกมาเป็นรูปภาพเสียง และข้อมูล ต่าง ๆ ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันได้แก่ NCSA Mosaic, Netscape Navigator, Internet Explorer และ Opera 
โปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Internet Explorer
5. ภาษาHTML (Hyper TextMarkup Language) เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจ โดยสามารถใส่จุดเชื่อมโยง (Link) ไปยังเอกสารหน้าอื่น ๆ ซึ่งการเชื่อมโยงนี้ถูกเรียกว่า Hypertextหรือเอกสาร HTML ซึ่งเว็บเพจจะใช้รหัส คำสั่ง สำหรับควบคุมการแสดงผลข้อความ หรือรูปภาพในลักษณะต่าง ๆกันได้ โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า แท็ก (Tag) ซึ่งแท็กจะกำหนด ให้เบราเซอร์แปลความหมายของรหัสคำสั่งดังกล่าว เป็นข้อมูลของเว็บเพจและคุณสมบัติ
พื้นฐานต่าง ๆ ด้วยนอกจากนี้ยังได้มีการนำเอาโค้ดภาษาโปรแกรมที่เรียกว่าสคริปต์ (Script) มาช่วยเพิ่ม ความสามารถ และสีสันให้เว็บเพจมากขึ้น 
6. WYSIWYG (What-You-See-Is-What-You-Get) โปรแกรมแบบวิสสิวิกนี้ ใช้สร้างเว็บเพจโดยการนำรูปภาพ 
หรือข้อความมาวางทับบนเว็บเพจ และเมื่อแสดงผลเว็บเพจ จะปรากฎหน้าเอกสารของเว็บเพจ เหมือนกับขณะที่ 
ทำการสร้าง การใช้งานจะใช้งานได้ง่ายกว่า การเขียนด้วยภาษา HTMLมาก โปรแกรมที่สามารถตอบสนอง การ
สร้างเว็บเพจแบบ WYSIWYG มีอยู่หลายโปรแกรมให้เลือกใช้เช่น FrontPage, Dreamweaver เป็นต้น

บริการต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
           อินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูลจำนวนมาก ที่เราสามารถค้นคว้า และรับส่งข้อมูลไปมา ระหว่างกันได้ อินเทอร์เน็ตจึงมีประโยชน์สำหรับยุคสังคมและข่าวสาร ในปัจจุบันอย่างมาก อินเทอร์เน็ต จะทำหน้าที่ เหมือนห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ ส่งข้อมูลที่เราต้องการมาให้ถึงบ้านหรือที่ทำงาน ภายในไม่กี่นาที จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก โดยจัดเป็นบริการในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
1. เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web : WWW) คือบริการค้นหาและแสดงข้อมูลแบบมัลติมีเดีย บนอินเทอร์เน็ตทุกประเภท ซึ่งข้อมูลและสารสนเทศอาจจัดอยู่ในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ หรือ เสียงก็ได้ ข้อดีของบริการประเภทนี้คือ สามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจหน้าอื่น หรือเว็บไซด์อื่นได้ง่าย เพราะใช้วิธีการของไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext) โดยมีการทำงานแบบไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server) ซึ่งผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูล จากเครื่องที่ให้บริการซึ่งเรียกว่าเว็บเซิร์ฟเวอร์ โดยอาศัยโปรแกรม ที่ใช้ดูข้อมูลเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ซึ่งผลที่ได้จะมีการแสดงเป็นไฮเปอร์เท็กซ์ ซึ่งในปัจจุบันมีการผนวกรูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และสามารถเชื่อมโยงไปยังเอกสารหรือข้อมูลอื่น ๆ ได้โดยตรงตัวอย่างเช่น www.yahoo.com สามารถค้นหาและเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเรื่องราวต่างๆ เช่น การศึกษาการท่องเที่ยว โรงแรมต่าง ๆ การรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เป็นต้น
2. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) หรือนิยมเรียกกันทั่วไปว่า “อีเมล์” (E-mail) เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน และกันบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถส่งข้อความ ไปยังสมาชิกที่ติดต่อด้วย โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที และสามารถแนบไฟล์ข้อมูลไปพร้อมกับจดหมายได้อีกด้วย การส่งจดหมายในลักษณะนี้ จะต้องมีที่อยู่เหมือนกับการส่งจดหมายปกติ แต่ที่ของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เราเรียกว่า E-mail Address
3. การโอนย้ายข้อมูล (FTP : File Transfer Protocol) เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสารข้อมูล บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อีกรูปแบบหนึ่ง ใช้สำหรับการโอนย้ายข้อมูลระหว่างผู้ใช้โปรแกรม FTP กับ FTP Server การโอนย้ายไฟล์จาก FTP Server มายังเครื่องของผู้ใช้ เรียกว่า ดาวน์โหลด (Download) และการโอนย้ายไฟล์ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ไปยังไปยัง FTP Server เรียกว่า อัพโหลด
4. การสืบค้นข้อมูล (Search Engine) คือ บริการที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความที่ต้องการสืบค้น เข้าไป โปรแกรมจะทำการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ให้ภายในเวลาไม่กี่นาที โปรแกรมประเภทนี้เราเรียกว่าSearch Engines เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถจำชื่อเว็บไซด์ บางเว็บได้ ก็สามารถใช้วิธีการสืบค้นข้อมูล ในลักษณะนี้ได้ เว็บไซด์ที่ทำหน้าที่เป็น Search Engines มีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น google.com , yahoo.com , sanook.com ฯลฯ เป็นต้น
5. การสนทนากับผู้อื่นบนอินเทอร์เน็ต จะคล้ายกับการใช้โทรศัพท์แต่แตกต่างกันที่ เป็นการสื่อสาร ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะใช้ไมโครโฟน และลำโพงที่ต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์ในการสนทนา
6. กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (News Group or Use Net) เป็นบริการกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และแสดงความคิดเห็นลงไปบริเวณกระดานข่าวได้ มีการแบ่งกลุ่มผู้ใช้ออกเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะสนใจเรื่องราวที่แตกต่างกันไป เช่นการศึกษา การท่องเที่ยว การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม การเกษตร และอุตสาหกรรม เป็นต้น
7. การสื่อสารด้วยข้อความ IRC (Internet Relay Chat) เป็นการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น โดยการพิมพ์ข้อความโต้ตอบกัน ซึ่งจำนวนผู้ร่วมสนทนาอาจมีหลายคนในเวลาเดียวกัน ทุกคนจะเห็นข้อความ ที่แต่ละคนพิมพ์เหมือนกับว่ากำลังนั่งสนทนาอยู่ในห้องเดียวกัน โปรแกรมที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารได้แก่โปรแกรม mIRC โปรแกรม PIRCH และโปรแกรม Comic Chat นอกจากโปรแกรม IRC แล้ว ในปัจจุบันนี้ภายในเว็บไซต์ ยังเปิดให้บริการห้องสนทนาผ่านทางโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ได้อีกด้วย



ที่มา : http://www.streesmutprakan.ac.th/teacher/techno/WEB%20_JAN/p6.html